
ในขณะที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์กำลังเผชิญกระแสความไม่พอใจต่อภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้น หนึ่งในมาตรการที่ถูกจับตาและวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ “ภาษีศุลกากร” ซึ่งถูกนำมาใช้ในระดับที่เกือบไม่เคยมีประธานาธิบดีคนใดทำมาก่อน ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว โดยมองว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ราคาสินค้านำเข้าพุ่งสูงและกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่รุนแรงขึ้น ทำเนียบขาวกลับเดินหน้าแนวคิดใหม่ซึ่งยิ่งสร้างกระแสถกเถียงมากกว่าเดิม นั่นก็คือ การนำรายได้จากภาษีศุลกากรมาจ่ายเป็น “เงินปันผล” มูลค่า 2,000 ดอลลาร์ ให้กับประชาชนกลุ่มรายได้ต่ำและปานกลาง หรือประชาชนกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์ต่อปี โดยอ้างว่าเป็นมาตรการช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และหวังจะพลิกฟื้นความนิยมของรัฐบาลในช่วงก่อนการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเตือนว่า แนวคิดนี้อาจกลายเป็นดาบสองคม เพราะรายได้จากภาษีศุลกากรไม่น่าจะเพียงพอสำหรับการจ่ายเงินในระดับที่ตั้งเป้าไว้ อีกทั้งยังอาจซ้ำเติมปัญหาการคลังและเงินเฟ้อ หากดำเนินการโดยขาดความรอบคอบ จึงถูกมองว่าเป็นนโยบายที่ “ไม่สมเหตุสมผล” มากกว่าจะเป็นทางออกที่แท้จริงของปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในเวลานี้
รายงานของ CNN ระบุว่า นักเศรษฐศาสตร์หลายคนแสดงความกังวลว่า รายได้จากภาษีศุลกากรอาจไม่เพียงพอต่อการจ่ายเงินปันผลตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ให้คำมั่นไว้กับประชาชน โดยหากรัฐบาลนำรายได้ส่วนนี้ไปใช้เพื่อแจกเงินโดยตรง ก็จะไม่เหลืองบประมาณไว้ชำระหนี้สาธารณะที่พุ่งทะลุ 38 ล้านล้านดอลลาร์ อีกทั้งยังอาจเพิ่มภาระหนี้ หากโครงการถูกออกแบบโดยปราศจากความรอบคอบ
แม้รายได้จากมาตรการภาษีจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้ารับตำแหน่ง โดยข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่เปิดปีงบประมาณเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลจัดเก็บภาษีศุลกากรได้แล้วกว่า 36,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงสามเท่า แต่การคำนวณของมูลนิธิภาษี (Tax Foundation) ชี้ว่า หากรัฐบาลแจกเงินปันผลให้เฉพาะผู้ใหญ่ที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์ต่อปี วงเงินรวมจะสูงถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่ารายได้จากภาษีศุลกากรที่คาดว่าจะเก็บได้ในปี 2569 เกือบเท่าตัว
เอริกา ยอร์ก นักวิเคราะห์เศรษฐกิจอาวุโสจาก มูลนิธิภาษี (Tax Foundation) ให้ความเห็นว่า “นี่คือแนวคิดที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง” พร้อมเตือนว่า หากศาลฎีกาตัดสินว่าการใช้อำนาจพิเศษของทรัมป์ในการจัดเก็บภาษีขัดต่อรัฐธรรมนูญ รายได้ศุลกากรของรัฐบาลอาจหายไปถึงสามในสี่จากที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะกระทบต่อฐานรายได้ของรัฐบาลโดยตรงและทำให้โครงการปันผลที่ประกาศไว้อาจไม่สามารถดำเนินการได้จริง
นอกจากความเสี่ยงทางการคลังแล้ว นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า ประสบการณ์ในอดีตสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อรัฐบาลแจกเงินคืนให้ประชาชนในลักษณะนี้ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มักนำเงินไปใช้จ่ายในสินค้าและบริการ ส่งผลให้ความต้องการในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นโดยที่อุปทานไม่ขยายตามทัน ผลลัพธ์คือราคาสินค้าสูงขึ้น และยิ่งทำให้ค่าครองชีพปรับตัวเพิ่ม
ผู้เชี่ยวชาญเตือนเพิ่มเติมว่า มาตรการลักษณะนี้ หรือที่เรียกว่า “Stimulus Checks” มักถูกนำมาใช้เฉพาะในภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง เช่น วิกฤตการเงินปี 2008 หรือช่วงการระบาดของโควิด-19 เมื่อกำลังซื้อของประชาชนหดตัว แต่สถานการณ์ปัจจุบันของสหรัฐฯ กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เนื่องจากอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ และการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง แม้อาจไม่กระจายตัวเท่าเทียม
ข้อมูลจากธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาเซนต์หลุยส์ ยังเผยว่า เงินช่วยเหลือในช่วงโควิดมีส่วนผลักดันอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นราว 2.6 จุดเปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งสะท้อนว่าการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมากเกินไปอาจย้อนกลับมาทำร้ายเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ขณะที่ ไมเคิล เพียร์ซ รองหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ จาก Oxford Economics เตือนว่า “หากรัฐบาลกลับมาแจกเช็กกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง ในช่วงที่เพิ่งประกาศลดภาษีครั้งใหญ่ ก็เท่ากับเป็นการเร่งให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป และอาจกลายเป็นการกระตุ้นที่เกินความจำเป็น”
ทั้งนี้ แม้จะเผชิญเสียงวิจารณ์อย่างหนัก ทำเนียบขาวยังคงยืนยันว่าภาษีศุลกากรเป็นนโยบายหลักของประธานาธิบดีทรัมป์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งให้เหตุผลว่า “นโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังช่วยปรับสมดุลการค้าทั่วโลก ดึงดูดการลงทุนภาคการผลิต และเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ขณะเดียวกันยังสร้างรายได้หลายพันล้านดอลลาร์ให้รัฐบาล ซึ่งจะถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอเมริกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกฝ่ายที่เห็นพ้องกับแนวคิดดังกล่าว ดักลาส โฮลท์ซ-อีคิน อดีตเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการจัดทำโครงการแจกเช็กภาษีเมื่อ ปี 2544 ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า “แนวคิดนี้ไม่มีพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์เลย และไม่น่าจะได้ผลในทางปฏิบัติ”
ด้านศาสตราจารย์จัสติน วูล์ฟเฟอร์ส จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “นี่เป็นแนวคิดที่ไร้สาระ ไม่ยุติธรรม และไม่มีเหตุผล หากภาษีศุลกากรทำให้ชาวอเมริกันยากจนลง วิธีแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือยกเลิกภาษีศุลกากรเหล่านั้นเสีย”
ภาพรวมของรายงานชุดนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ที่ต้องเผชิญโจทย์สองด้านพร้อมกัน นั่นก็คือ ความพยายาม “คืนเงินให้ประชาชน” เพื่อฟื้นความนิยมทางการเมือง กับแรงกดดันจาก “ต้นทุนค่าครองชีพ” ที่ยังคงกัดกร่อนความเชื่อมั่นของประชาชนต่ออนาคตเศรษฐกิจประเทศ
ที่มา: CNN