Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สรุปเงื่อนไข-แนวทางแก้หนี้เสียผ่าน AMC ช่วยประชาชนและเศรษฐกิจอย่างไร ?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

สรุปเงื่อนไข-แนวทางแก้หนี้เสียผ่าน AMC ช่วยประชาชนและเศรษฐกิจอย่างไร ?

4 พ.ย. 68
14:16 น.
แชร์

หนี้ครัวเรือน เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทย เพราะการมีหนี้มากทำให้คนมีกำลังซื้อน้อยลง ส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจ 

จำนวนหนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 1 ปี 2568 รวมอยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท คิดเป็น 87.4% ของ GDP สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไม่เกิน 80% ของ GDP ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ครัวเรือนก็มีปัญหา มีสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) หรือ ‘หนี้เสีย’ ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีมูลค่า 1.19 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.78% ของสินเชื่อรวม ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน (SMLs) อยู่ที่ 4.25% ของสินเชื่อรวม 

ด้วยปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงบรรจุมาตรการแก้หนี้เสียภาคครัวเรือน (NPLs) เป็น 1 ใน 5 เสาหลักของชุดนโยบาย ‘Quick Big Win’ โดยรัฐบาลจะนำเงินคงเหลือจากกองทุนฟื้นฟูและสถาบันการเงินที่ใช้สำหรับโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) ร่วมกับธนาคาร เพื่อซื้อหนี้เสียของประชาชนออกมาบริหาร จากนั้นจะปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ยืดระยะเวลาผ่อน หรือลดดอกเบี้ย 

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนกลับมาเป็นลูกหนี้ที่มีประวัติชำระปกติ และมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต ไม่ต้องพึ่งพิงสินเชื่อนอกระบบที่อาจมีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้โดยเร็วและยั่งยืน และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้ในอนาคต

โครงการแก้หนี้เสียผ่าน AMC นี้จะดำเนินการอย่างไร มีเงื่อนไขอย่างไร ใครเข้าข่ายจะได้รับการช่วยเหลือ SPOTLIGHT สรุปมาแล้วจากการแถลงข่าวโดย เอกนิติ  นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา 

เงื่อนไข ใครจะได้รับการช่วยเหลือ 

โครงการนี้มุ่งแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่มีภาระหนี้ NPL ซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 โดยต้องมีหนี้กับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย

ประชาชนที่อยู่ในเงื่อนไขนี้ มีจำนวนประมาณ 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี เป็นภาระหนี้รวมจำนวนประมาณ 122,000 ล้านบาท 

แต่รองนายกฯ และ รมว.คลัง บอกว่า การดำเนินการแก้หนี้ในครั้งแรกนี้ คาดว่าจะมีบัญชีลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้นประมาณ 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท

แนวทางดำเนินการแก้หนี้ผ่านกลไก AMC

แนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการนี้ จะแบ่งการดำเนินการออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 

กลุ่มที่ 1 ดำเนินการโดย AMC 

สำหรับลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ ลูกหนี้ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน จะได้รับการช่วยเหลือผ่านกลไกการขายและโอนหนี้ให้กับ AMC ที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) หรือบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) 

จากนั้น AMC จะนำหนี้มาปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการเสนอเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ผ่อนปรนและเหมาะกับความสามารถของคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมการจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี เป็นต้น  

กลุ่มที่ 2 ดำเนินการโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs)

ลูกหนี้ของ SFIs บางส่วนจะได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติมโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินการเอง ซึ่ง SFIs จะมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นมาตรการเฉพาะของแต่ละธนาคาร เพื่อบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ เนื่องจากลูกหนี้ของ SFIs กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ หรือได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านกลไกอื่นแล้ว 

ยกตัวอย่างมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมโดย SFIs เช่น มาตรการชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชี ลดเงินต้นยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ เป็นต้น 

นอกจากนี้ มีความร่วมมือพิเศษกับ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร โดยจะตั้งรหัสพิเศษ คือ ‘รหัส 16’ ให้แก่กลุ่มลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งหวังว่าจะช่วยให้ลูกหนี้ขอกู้เงินใหม่ได้เร็วขึ้น 

ระยะต่อไป ช่วยลูกหนี้สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร  

รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังบอกว่า ในระยะต่อไปจะมีการพิจารณาขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-bank ตามหลักการเดียวกัน เพื่อให้นโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทั้งหมด

อดีต รมว.คลังดีใจแนวคิดถูกสานต่อ 

นโยบายแก้หนี้เสียของประชาชนของรัฐบาลนี้ ได้รับเสียงสนับสนุนจาก พิชัย ชุณหวชิร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งได้โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กในวันที่ 4 พฤศจิกายนว่า “การแก้หนี้ คือการคืนโอกาสให้ประชาชนเริ่มต้นใหม่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี”

“....ผมดีใจที่แนวคิดและหลักการที่ ‘ทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย’ ได้วางรากฐานการศึกษาและพัฒนาไว้ตั้งแต่ต้น ได้ถูกนำมาสานต่อ เพราะนี่คือแนวทางที่มองเห็น ‘ประชาชน’ อยู่เบื้องหลังตัวเลขหนี้เสมอ

แนวทางนี้ไม่ได้เป็นเพียงการช่วยลูกหนี้รายย่อย แต่ยังช่วย ‘ลดความเปราะบางของระบบการเงิน’ ในภาพรวม เพราะหนี้เสียที่กระจายอยู่ในหลายสถาบัน หากถูกบริหารรวมผ่านกลไกกลาง จะช่วยให้ระบบธนาคารกลับมามีสภาพคล่อง สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่เพื่อฟื้นเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น” 

พิชัยอธิบายว่า หลักคิดของแนวทางแก้หนี้นี้ คือ การจัดลำดับความสำคัญในการปลดล็อกพลังเศรษฐกิจ ซึ่งในตอนที่ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยศึกษาปัญหา พบว่า หนี้ครัวเรือนกว่า 13 ล้านล้านบาทได้สร้างภาระหนักอึ้งให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นหนี้เสียหรือใกล้เสีย (NPL/SM) กว่า 5 ล้านคน ซึ่งหากปล่อยให้คนกลุ่มนี้หลุดออกจากระบบเศรษฐกิจต่อไป จะไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของประเทศ ดังนั้น การแก้หนี้จึงไม่ใช่แค่การจัดการตัวเลข แต่คือการดึงพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจกลับคืนมา 

“หลักคิดสำคัญคือ ‘รัฐเข้าไปช่วยปลดล็อก ไม่ใช่แบกรับ’ เพราะเงินที่ใช้มาจากกองทุนหมุนเวียนในระบบการเงิน ไม่ได้เพิ่มภาระการคลัง แต่กลับสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจสูงกว่าเม็ดเงินที่ลงทุนหลายเท่า 

ใช้งบประมาณเพียงน้อยนิด แต่สามารถปลดล็อกศักยภาพของคนหลายล้านคนให้กลับมามีกำลังซื้อและลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง เมื่อพวกเขากลับมามีรายได้ พวกเขาก็จะกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เดินต่อ” 

อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว.คลังบอกอีกว่า เศรษฐกิจที่เติบโตคือยารักษาหนี้ที่ดีที่สุด มาตรการเหล่านี้เป็นเพียง ‘กลไกประคอง’ ในระยะสั้น เพื่อรอให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาวส่งผล หากไทยสามารถสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมัน (Trust & Confidence) ดึงดูดการลงทุน และทำให้ GDP เติบโตในระดับ 5% ขึ้นไปอย่างยั่งยืน การแก้หนี้ครัวเรือนจะค่อยๆ คลี่คลายได้ด้วยกลไกของรายได้ที่เพิ่มขึ้นเอง

นอกจากนั้น อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว.คลัง แนะว่า ในระยะต่อไป การดำเนินนโยบายลักษณะนี้ควรเชื่อมโยงกับมาตรการสร้างรายได้ของภาคเกษตรและแรงงาน เช่น การเพิ่มผลิตภาพ การปรับทักษะ และการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ เพื่อให้การแก้หนี้เป็นส่วนหนึ่งของวงจรเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงการเยียวยาชั่วคราว 

กสิกรไทยเคยเตือน AMC ยุคนี้อาจไม่สำเร็จเหมือนช่วงต้มยำกุ้ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยวิเคราะห์ไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ในสมัยรัฐบาลเพื่อไทยว่า แม้จุดเริ่มต้นของแนวคิดการจัดตั้ง AMC มีความเหมือนกันกับในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งตรงที่การมุ่งแยกหนี้เสียออกจากระบบ แต่กลับอยู่บนเงื่อนไขของเศรษฐกิจการเงินที่แตกต่างกัน คือ ในช่วงวิกฤตปี 2540 การจัดตั้ง AMC จะเน้นซื้อหนี้ทั้งธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤตจากอานิสงส์ของเงินบาทอ่อนค่าที่ส่งผลดีต่อ FDI และการส่งออก ได้ช่วยให้ธุรกิจและครัวเรือนเห็นภาพรายได้ที่ดีขึ้น 

นอกจากนี้ ในระยะเวลาดังกล่าว ยังเป็นช่วงแรกๆ ของตลาดการบริหารหนี้ และมีการแก้กฎหมาย มีการจัดตั้งศาลล้มละลายกลาง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้มีองค์ประกอบหลายด้านที่สนับสนุนการแก้ไขหนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

ขณะที่ ปัญหาในรอบนี้แตกต่างออกไป นั่นคือ หนี้ NPL ทั้งธุรกิจและรายย่อยจำนวนไม่น้อยผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และมาตรการช่วยเหลือจากทั้งธนาคารพาณิชย์และทางการ สถานการณ์เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูงทำให้ปัจจัยด้านรายได้ของธุรกิจและครัวเรือนไม่ชัดเจน ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสำเร็จในการแก้ไขหนี้ 

นอกจากนี้ ตลาดการบริหารหนี้ก็มีความท้าทายมากขึ้นจากการที่หนี้ที่ไหลเข้ามาในระยะหลังแก้ยากขึ้น อีกทั้งการระบายทรัพย์สู่ตลาดตามกระบวนการทางกฎหมายก็น่าจะใช้เวลา ท่ามกลางผู้ซื้อและอำนาจซื้อที่จำกัด 

“ดังนั้น แนวคิดในการจัดตั้ง AMC ในรอบนี้ จึงต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปข้างต้นด้วย เพื่อออกแบบรูปแบบธุรกิจและกลไกการจัดการให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไปมากขึ้น”

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะว่าต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ (1) เป้าหมายการแก้หนี้ที่เน้นหนี้รายย่อย จะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการหนี้สูงขึ้นกว่าเดิม (2) ปัญหา Moral Hazard ของลูกหนี้ (3) การแก้หนี้ที่ยั่งยืนยังต้องอาศัยการแก้ไขจากฝั่งรายได้ ควบคู่กับการสร้างวินัยและวัฒนธรรมในการใช้จ่ายที่ถูกต้อง

แชร์
สรุปเงื่อนไข-แนวทางแก้หนี้เสียผ่าน AMC ช่วยประชาชนและเศรษฐกิจอย่างไร ?