Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
นายกฯ โต้Fitchหั่นแนวโน้มจากพื้นฐานในอดีต เชื่อทีมใหม่กู้ความเชื่อมั่น
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

นายกฯ โต้Fitchหั่นแนวโน้มจากพื้นฐานในอดีต เชื่อทีมใหม่กู้ความเชื่อมั่น

25 ก.ย. 68
14:49 น.
แชร์

แรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจาก Fitch Ratings ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยเป็น “เชิงลบ” จากเดิม “มีเสถียรภาพ” เหตุผลหลักคือความเปราะบางด้านการคลังที่เพิ่มสูง หนี้สาธารณะที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาหลายปี ข่าวดังกล่าวทำให้รัฐบาลชุดใหม่ของไทยถูกจับตาว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้างเพื่อปรับปรุงสถานะทางการคลังของไทย เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยถูกปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้งในอนาคต

ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนดังกล่าว นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมรับฟังข้อเสนอจากภาคตลาดทุนเพื่อเสริมพลังภาครัฐ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า การที่ Fitch Ratings ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยลงเป็น “เชิงลบ” ไม่ได้สะท้อนถึงการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน แต่เป็นผลสะสมจากพื้นฐานที่เกิดขึ้นในอดีต และย้ำว่ารัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ที่เป็นมืออาชีพกำลังเร่งทำงานร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นอยู่

สำหรับตลาดทุนไทย นายอนุทินระบุว่า รัฐบาลจะเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะการพัฒนาตลาดทุนไทยที่ควรทำหน้าที่เป็นหนึ่งในกลไกหลักในการพัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ๆ นอกเหนือจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ผ่านทั้งการเพิ่มสภาพคล่อง การปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค (regulatory guillotine) และการพัฒนากลไกที่จะช่วยให้การลงทุนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

แนวโน้มเครดิตเรตติ้งลดเป็นผลจากอดีต

นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ชี้แจงกรณีที่ Fitch Ratings ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของไทยจาก “Stable” เป็น “Negative Outlook” โดยเน้นว่าสาเหตุหลักมาจากปัจจัยที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีต ทั้งปัญหาด้านวินัยการคลังที่ไม่เข้มแข็ง การก่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความไม่ชัดเจนในการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน รัฐบาลใหม่เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศได้ไม่นาน แต่ตระหนักดีถึงความท้าทายเหล่านี้ และพร้อมที่จะเร่งดำเนินการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนแก่ทั้งประชาชนและนักลงทุน

เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว นายกรัฐมนตรีระบุว่ารัฐบาลได้กำหนดนโยบายเชิงรุกและเดินสายพบปะผู้ประกอบการในหลายภาคส่วน ทั้งตลาดทุน สมาคมธนาคารไทย อุตสาหกรรม และหอการค้า เพื่อรับฟังข้อเสนอและข้อกังวลโดยตรง ซึ่งประเด็นสำคัญที่สะท้อนออกมาคือความไม่แน่นอนต่อทิศทางนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนธุรกิจและการลงทุน รัฐบาลจึงยืนยันว่าจะเร่งสร้างความชัดเจนในเชิงนโยบาย กำหนดทิศทางที่แน่นอนและต่อเนื่อง เพื่อให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ในส่วนของความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่บ่อยครั้ง นายกรัฐมนตรีชี้ว่า แม้การเปลี่ยนรัฐบาลอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบาย แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องลบเสมอไป หากรัฐบาลใหม่เลือกที่จะสานต่อนโยบายที่มีประโยชน์ต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยลดความผันผวนลงได้ รัฐบาลชุดนี้จึงให้ความสำคัญต่อการสานต่อโครงการที่เป็นที่นิยมและสร้างผลประโยชน์ชัดเจน เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งถูกมองว่าเป็นมาตรการที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้จริง โดยรัฐบาลได้เตรียมงบประมาณไว้รองรับทั้งจากกรอบที่จัดสรรไว้แล้วและจากงบเพิ่มเติมที่เตรียมเสนอ เพื่อให้โครงการดำเนินต่อไปโดยไม่เกิดความล่าช้าและไม่สะดุด

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า การเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อรักษาอำนาจชั่วคราว แต่ทุกวันคือเวลาที่ต้องทำงานอย่างจริงจังเพื่อหาทางออกให้ประเทศ นายอนุทินชี้ว่าผลลัพธ์ของการดำเนินงานจะเป็นบทพิสูจน์ที่แท้จริงว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุน และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมยืนยันว่าไม่ใช่เพียงการรอคอยการยุบสภาหรือการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่เป็นการทำงานเต็มที่เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ประเทศไทยในระยะยาว

เร่งเดินหน้านโยบายฟื้นเชื่อมั่นตลาดทุน

สำหรับการประชุมเพื่อรับฟังข้อเสนอจากภาคตลาดทุน เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้เข้าหารือกับศาสตราจารย์กิตติพงศ์ อุรพีพิพัฒน์พงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย โดยการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคตลาดทุน และภาคเอกชน ในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งทำให้ตลาดทุนไทยสะท้อนศักยภาพทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของประเทศได้เต็มรูปแบบ

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าการประชุมครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ โดยเน้นเรื่องการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดทุน การยกระดับให้ตลาดหุ้นให้เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ และการออกมาตรการที่สามารถสร้างผลลัพธ์เชิงรูปธรรมได้อย่างรวดเร็ว รัฐบาลมองว่าตลาดหุ้นเป็นเสมือนด่านแรกที่สะท้อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ หากตลาดมีความแข็งแกร่ง นักลงทุนก็จะเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยฟื้นตัวเศรษฐกิจในภาพรวม ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพคล่องในระยะยาว และการปลดล็อกกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เพื่อไม่ให้ระบบติดขัดและสามารถดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดทุนได้ต่อเนื่อง

หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นคือ “regulatory guillotine” หรือการตัดทอนกฎเกณฑ์ที่ซ้ำซ้อนและไม่จำเป็นออกไปอย่างเด็ดขาด เพื่อประหยัดเวลาและลดขั้นตอนทางกฎหมายใหญ่ที่ใช้เวลานาน รัฐบาลเห็นว่าด้วยระยะเวลาที่จำกัดเพียงสี่เดือน การใช้กลไกฝ่ายบริหารให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือทางออกที่เหมาะสม โดยนายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่าจะให้การสนับสนุนเต็มที่แก่รัฐมนตรีเศรษฐกิจในทุกกระทรวง ทั้งการคลัง การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันมาตรการที่สามารถดำเนินการได้ทันทีและส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม

ในประเด็นด้านความเชื่อมั่นต่อตลาดทุน นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงต่อข้อกังวลของสื่อมวลชนที่ตั้งคำถามถึงปัจจัยการเมืองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวน โดยยืนยันว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ประกอบด้วยบุคลากรมืออาชีพ ไม่มีการครอบงำทางการเมือง และได้รับอำนาจเต็มในการบริหารงานภายใต้กรอบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเน้นการแก้ไขกฎระเบียบและประกาศที่สามารถปลดล็อกคอขวดทางเศรษฐกิจได้อย่างทันทีทันใด แทนที่จะเสียเวลารอการแก้กฎหมายผ่านสภาที่ต้องใช้เวลายาวนาน

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สิ่งที่อยากเห็นภายในสี่เดือนคือการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นในระดับที่สะท้อนความเชื่อมั่นที่กลับคืนมา นักลงทุนมั่นใจมากขึ้น ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้คล่องตัวขึ้น และประชาชนรับรู้ได้ว่าบรรยากาศทางเศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง แต่รัฐบาลจะทำให้ความเสี่ยงเหล่านั้นสามารถคาดการณ์ได้ นักลงทุนจึงสามารถตัดสินใจลงทุนบนพื้นฐานของข้อมูลที่โปร่งใสและแนวทางที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงการคาดเดา

นอกจากการพัฒนาตลาดทุน อีกหนึ่งประเด็นที่ได้รับความสนใจคือการจัดการกับปัญหา “ทุนสีเทา” นายกรัฐมนตรีชี้ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการปกป้องตลาดทุนจากเงินที่อาจมาจากแหล่งที่ไม่โปร่งใสหรือผิดกฎหมาย โดยมอบหมายให้หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานปปง. กลต. และธนาคารพาณิชย์ ร่วมกันตรวจสอบและติดตามเงินทุนที่เข้ามาอย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติหรือข้อสงสัยจะต้องตรวจสอบทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เงินดังกล่าวสร้างแรงกระทบต่อค่าเงินบาท หรือทำลายเสถียรภาพของตลาดทุน โดยรัฐบาลเน้นว่าทีมเศรษฐกิจและทีมด้านความมั่นคงจะทำงานร่วมกันภายใต้เป้าหมายเดียว คือการปกป้องระบบเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมไทยจากความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การหารือครั้งนี้เป็นทั้ง “productive” และ “constructive” เนื่องจากได้ข้อสรุปที่มีสาระสำคัญและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติจริง โดยรัฐบาลและตลาดทุนจะร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างผลลัพธ์ในสองระดับ ทั้งระยะสั้นที่จะต้องปรากฏชัดภายในสี่เดือน และระยะยาวที่จะวางรากฐานที่มั่นคงต่อการยกระดับเศรษฐกิจไทยในอนาคต


แชร์
นายกฯ โต้Fitchหั่นแนวโน้มจากพื้นฐานในอดีต เชื่อทีมใหม่กู้ความเชื่อมั่น