ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สัญญาณลบต่อเศรษฐกิจและการคลังไทยชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในสายตานักลงทุนโลก เมื่อสองสถาบันจัดอันดับเครดิตระดับโลกอย่าง Fitch Ratings และ Moody’s ต่างออกมาส่งสัญญาณในทิศทางเดียวกันว่าความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยกำลังทวีความรุนแรงขึ้น ความเชื่อมั่นที่เคยมีว่าประเทศจะสามารถรักษาเสถียรภาพได้เริ่มถูกสั่นคลอน สะท้อนจากการที่ทั้งสองค่ายพร้อมใจกันปรับ “แนวโน้ม” อันดับเครดิตลงจาก “เสถียรภาพ” สู่ “เชิงลบ” แม้ยังคงเก็บอันดับเดิมเอาไว้ แต่สาระสำคัญคือการยอมรับตรงกันว่าไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงที่อาจลุกลามไปถึงการถูกปรับลดอันดับเครดิตในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงมุมมองดังกล่าวไม่ใช่เพียงสัญญาณทางเทคนิคด้านการเงินการคลัง หากแต่เป็นเหมือน “สัญญาณเตือน” ว่าเศรษฐกิจไทยในวันนี้กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากภายในที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางการเมืองและภาระหนี้ที่พุ่งสูง และจากภายนอกที่มาจากสงครามการค้าและภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่กระทบต่อการส่งออกและความสามารถในการแข่งขัน การประกาศของ Fitch เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 และของ Moody’s เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ที่ห่างกันเพียงไม่กี่เดือน จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือการสะท้อนตรงกันว่าเส้นทางของเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้จะเต็มไปด้วยความท้าทายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ฟิทช์เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ได้เผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2025 โดยยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating: IDR) ของประเทศไทยไว้ที่ระดับ ‘BBB+’ แต่ปรับแนวโน้ม (Outlook) จาก “มีเสถียรภาพ” (Stable) ลงมาเป็น “เชิงลบ” (Negative) การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อเสถียรภาพทางการคลัง ท่ามกลางแรงกดดันจากการเมืองที่ยืดเยื้อ การเติบโตที่ชะลอลง และกันชนทางการคลังที่ถูกใช้ไปเกือบหมด
Fitch ระบุว่า หนี้สาธารณะของไทย ณ เดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ 59.4% ของ GDP เพิ่มขึ้นถึง 25 จุดเปอร์เซ็นต์จากช่วงก่อนโควิด-19 และใกล้เคียงกับค่ามัธยฐานของกลุ่มประเทศที่มีอันดับ ‘BBB’ ที่ 59.6%
ฟิทช์เตือนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ดำเนินต่อเนื่อง การเลื่อนการปรับสมดุลการคลังซ้ำ ๆ และความไม่ชัดเจนของกลยุทธ์ทางการคลัง ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อทิศทางการคลังระยะกลาง โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจเติบโตอย่างจำกัดและสังคมไทยเผชิญแรงกดดันด้านโครงสร้างประชากรที่สูงขึ้น
ฟิทช์ประเมินว่าไทยจะเผชิญภาวะขาดดุลงบประมาณสูงถึง 4.6% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2568 และ 4.3% ในปี 2569 สะท้อนว่ารัฐบาลยังเดินหน้าการใช้จ่ายเชิงกระตุ้น ทั้งโครงการแจกเงินสดและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบินแห่งใหม่และโครงการรถไฟความเร็วสูง งบประมาณปี 2026 ที่ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้วบ่งชี้ว่าความเสี่ยงที่จะตัดลดรายจ่ายเหมือนในปี 2567 มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย
ปัจจัยทางการเมืองก็เป็นอีกตัวถ่วงสำคัญ หลังศาลรัฐธรรมนูญปลด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้นเดือนกันยายน กรณีสายโทรศัพท์รั่วไหลกับอดีตผู้นำกัมพูชา ส่งผลให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยมีข้อตกลงกับพรรคฝ่ายค้าน “ประชาชน” ว่าจะจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในสี่เดือน ฟิทช์มองว่าสถานการณ์นี้สร้างความไม่แน่นอนอย่างมากต่อแนวนโยบาย โดยเฉพาะการปรับสมดุลการคลังหลังปี 2569 ซึ่งยังคลุมเครือจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
ด้านการเติบโต ฟิทช์คาดว่า GDP ไทยจะขยายตัวเพียง 2.2% ในปี 2568 และ 1.9% ในปี 2569 ลดลงจาก 2.5% ในปี 2567 และต่ำกว่าค่ามัธยฐานของกลุ่ม ‘BBB’ ที่ 2.7% สาเหตุหลักมาจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่อ่อนแรง การส่งออกถูกกดดันจากภาษี 19% ของสหรัฐฯ และการค้าโลกที่ซบเซา ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงมกราคม-สิงหาคม 2568 อยู่ที่ 21.9 ล้านคน ต่ำกว่าปี 2562 ที่ 39.9 ล้านคน โดยเฉพาะการลดลงอย่างมากของนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นปัจจัยที่ฉุดความเร็วในการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว แม้กระนั้น การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่องอาจช่วยพยุงเศรษฐกิจได้บ้าง
ในด้านเสถียรภาพมหภาค ฟิทช์ระบุว่ากรอบนโยบายการเงินและการคลังที่มั่นคงและฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแรงยังเป็นจุดพยุงสำคัญ หนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาทและมีต้นทุนต่ำ โดยต้นทุนดอกเบี้ยอยู่ที่เพียง 5.7% ของรายได้ ต่ำกว่าค่ามัธยฐานของกลุ่ม ‘BBB’ ที่ 9.2% นอกจากนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลต่อเนื่อง สถานะสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิสูงถึง 47% ของ GDP และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยภายนอกเพียง 0.7% ของรายรับจากต่างประเทศ ต่ำกว่าค่ามัธยฐานของกลุ่มเดียวกันที่ 5.7% อย่างมาก
ทั้งนี้ แม้กันชนเหล่านี้จะช่วยลดความเปราะบาง แต่ก็ไม่อาจลบล้างปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้จะลดลงมาอยู่ที่ 87.4% ของ GDP ในไตรมาส 1/2568 จากจุดสูงสุด 95.5% ในไตรมาส 1/2564 แต่สัดส่วนดังกล่าวยังเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการบริโภคและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อคุณภาพสินทรัพย์ในระบบธนาคาร ฟิทช์คาดว่าอัตราหนี้เสียของภาคธนาคารจะอยู่ที่ 3.6% ภายในสิ้นปี 2568
ในส่วนของนโยบายการเงิน ฟิทช์ชี้ว่าแรงกดดันเงินฝืดจากอาหารและพลังงานทำให้ CPI เดือนสิงหาคมลดลงเหลือ -0.8% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.8% ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีช่องว่างในการผ่อนคลายนโยบายต่อ โดยตลอด 12 เดือนที่ผ่านมาได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 100 จุดพื้นฐาน ล่าสุดอยู่ที่ 1.5% และคาดว่าจะมีการลดเพิ่มเติมทั้งในปี 2568 และ 2569 ขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มฟื้นกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ในช่วงปี 2530
นอกจากนี้ ฟิทช์ยังระบุถึงประเด็นธรรมาภิบาล โดยประเทศไทยได้คะแนน ESG Relevance Score (RS) ที่ระดับ ‘5’ สำหรับเสถียรภาพทางการเมือง สิทธิและหลักนิติธรรม รวมถึงการควบคุมคอร์รัปชัน อยู่ในเปอร์เซ็นไทล์ที่ 47 ของดัชนี World Bank Governance Indicators สะท้อนถึงประวัติการเปลี่ยนผ่านการเมืองที่ค่อนข้างสงบแต่ยังเผชิญข้อจำกัดในด้านการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการจัดการทุจริต
โดยรวมแล้ว ฟิทช์สรุปว่าความเสี่ยงหลักที่อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือคือความล่าช้าในการฟื้นเสถียรภาพหนี้สาธารณะและแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอจากแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก ในทางกลับกัน ปัจจัยที่อาจนำไปสู่การปรับเพิ่มอันดับคือความคืบหน้าในด้านวินัยการคลังและการยกระดับศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่สร้างหนี้เอกชนส่วนเกิน ขณะที่แบบจำลอง SRM ของฟิทช์ให้อันดับพื้นฐานของไทยที่ ‘BBB’ แต่มีการปรับเพิ่มหนึ่งขั้นจากปัจจัยด้านการเงินต่างประเทศ ทำให้ไทยยังคงได้อันดับสุดท้ายที่ ‘BBB+’ พร้อมเพดานประเทศ (Country Ceiling) อยู่ที่ ‘A-’ ซึ่งสูงกว่า IDR หนึ่งขั้น สะท้อนข้อจำกัดต่อความเสี่ยงด้านเงินทุนและอัตราแลกเปลี่ยนในระดับปานกลาง
มุมมองนี้ของฟิทช์เรทติ้งส์สอดคล้องกับมุมมองของ Moody’s ที่ออกมาเคลื่อนไหวในวันที่ 29 เมษายน 2568 โดยมูดี้ส์ได้ปรับมุมมองอันดับเครดิตของไทยลงมาเป็นเชิงลบเช่นกัน ขณะที่คงอันดับเครดิตผู้ออกและหนี้สกุลเงินบาทของรัฐบาลไทยไว้ที่ระดับ Baa1 รวมถึงอันดับตราสารหนี้สั้นสกุลเงินต่างประเทศที่ระดับ P-2
การปรับมุมมองครั้งนี้สะท้อนความกังวลว่าเศรษฐกิจและฐานะการคลังของไทยกำลังอ่อนแรงลงภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มกดดันการค้าโลกและเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง ซึ่งจะส่งผลตรงต่อไทยในฐานะเศรษฐกิจเปิดและพึ่งพาการส่งออก
มูดี้ส์ระบุว่าไทยเผชิญความไม่แน่นอนสูงว่าสหรัฐฯ จะเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าหลังจากช่วงพัก 90 วันสิ้นสุดหรือไม่ในขณะนั้น โดยหากมาตรการลุกลาม จะซ้ำเติมการฟื้นตัวที่เชื่องช้าหลังโควิด และกดให้ศักยภาพการเติบโตระยะยาวลดต่ำลง โดยข้อมูล OECD ชี้ว่า มูลค่าเพิ่มที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นราว 3% ของ GDP ในปี 2563 การพึ่งพานี้ทำให้ไทยเปราะบางเป็นพิเศษต่อแรงกระแทกจากการค้าโลก นอกจากนี้ไทยยังมีความเสี่ยงทางอ้อมจากห่วงโซ่คุณค่า หากจีนระบายสินค้าเกินออกมากดตลาด จะกระทบต่อภาคการผลิตไทยโดยตรง ขณะเดียวกันบรรยากาศความไม่แน่นอนยังบั่นทอนกลยุทธ์ “China+1” ที่ไทยคาดหวังใช้ดึงการลงทุนใหม่เข้ามาทดแทนจีน
แรงกดดันเหล่านี้ทำให้มูดี้ส์หั่นคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยปี 2568 ลงเหลือเพียง 2% จาก 2.9% ที่เคยคาดไว้เพียงหกเดือนก่อนหน้า ทั้งยังเตือนว่าการฟื้นตัวที่อ่อนแรงอาจยืดเยื้อการรวมการคลังและซ้ำเติมภาระหนี้ ภายในปีงบประมาณ 2567 หนี้รัฐบาลเพิ่มขึ้นราว 22 จุดเปอร์เซ็นต์ แตะระดับ 56% ของ GDP จากปี 2562 ขณะที่กรอบการคลังระยะกลาง (MTFF) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนธันวาคม 2024 ยังสะท้อนถึงการผ่อนคลายเป้าหมายการลดหนี้เมื่อเทียบกับกรอบก่อนหน้า ทั้งหมดนี้ทำให้ความเสี่ยงด้านการคลังเพิ่มขึ้น แม้ไทยจะยังมีเครื่องมือทางนโยบายบางอย่างที่ช่วยประคับประคอง เช่น การจัดเก็บรายได้ภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ดี การคงอันดับ Baa1 ยังสะท้อนถึงจุดแข็งเชิงโครงสร้างของไทย ทั้งในด้านสถาบันและธรรมาภิบาลที่มีความแข็งแกร่งปานกลาง สนับสนุนนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาคที่มีเสถียรภาพ รวมถึงความสามารถในการรองรับหนี้ แม้ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นหลังจากหนี้สูงขึ้น แต่ก็ยังอยู่เพียง 6% ของรายได้รัฐบาลในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10% ของประเทศที่มีอันดับเครดิตใกล้เคียง นอกจากนี้ ไทยยังมีเงินสำรองระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งถึง 215,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม 2568 เพิ่มขึ้นจาก 200,000 ล้านดอลลาร์ในปีก่อน ครอบคลุมการนำเข้าได้ราวเจ็ดเดือน ขณะที่ตัวชี้วัดความเปราะบางภายนอก (EVI) อยู่ที่ราว 50% แสดงให้เห็นว่ามีระยะปลอดภัยสูงก่อนที่เงินสำรองจะกลายเป็นจุดเสี่ยง
แม้ไทยจะมีความแข็งแกร่งด้านการเงินภายนอกและสถาบัน แต่ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างยังคงกดทับศักยภาพระยะยาว มูดี้ส์ชี้ว่าไทยเปราะบางต่อปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้น้ำ การเกิดน้ำท่วม และการพึ่งพาภาคเกษตร ขณะที่ด้านสังคม ไทยกำลังเผชิญปัญหาสังคมสูงวัย การขาดแคลนแรงงานทักษะสูง และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และความมั่งคั่งในระดับสูง ด้านธรรมาภิบาล แม้สถาบันไทยจะมีความแข็งแกร่ง แต่ความตึงเครียดทางการเมืองในระดับปานกลางยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันประสิทธิภาพของการกำหนดนโยบาย
คณะกรรมการจัดอันดับของมูดี้ส์ได้หารือเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 โดยเห็นตรงกันว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังไม่เปลี่ยนไปมาก แต่ความเสี่ยงใหม่จากภาษีสหรัฐฯ และการชะลอการรวมการคลัง ทำให้จำเป็นต้องปรับแนวโน้มลงสู่ “เชิงลบ” ขณะที่มูดี้ส์ยังระบุว่าความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มอันดับมีน้อยในระยะสั้น แต่แนวโน้มอาจกลับมา “เสถียรภาพ” ได้ หากไทยสามารถรับมือแรงกระแทกได้ดีกว่าที่คาด ในทางตรงข้าม หากเศรษฐกิจยังอ่อนแอต่อเนื่อง หนี้รัฐบาลพุ่งขึ้นต่อเนื่อง หรือความตึงเครียดทางการเมืองลุกลาม ก็อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตลงได้เช่นกัน
เมื่อรวมกัน ทั้งการประกาศของฟิทช์ในเดือนกันยายนและของมูดี้ส์ในเดือนเมษายนได้สะท้อนภาพชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่บนเส้นทางที่เปราะบาง ความไม่แน่นอนทางการเมือง หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่สูง การฟื้นตัวที่อ่อนแรง และแรงกระแทกจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ ล้วนทำให้ความเสี่ยงที่อันดับเครดิตจะถูกปรับลดลงทวีความรุนแรง หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ผลกระทบย่อมหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่สั่นคลอน และภาพลักษณ์ของเศรษฐกิจไทยในเวทีโลกที่ถูกบั่นทอนลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า การที่ Fitch ปรับลดแนวโน้มเครดิตไทยเป็น “negative” เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ เนื่องจากข้อมูลในอดีตแสดงว่า 50% ของกรณีที่ปรับ outlook เป็นลบจะถูกลดอันดับเครดิตจริงภายใน 1-2 ปี หากไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้ต่อ GDP ที่ใกล้แตะ 70%, ขาดดุลงบประมาณที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.3% ของ GDP ในปีนี้ เศรษฐกิจที่โตช้าเพียง 1.8%, และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจนำไปสู่การใช้จ่ายเพิ่มเติมก่อนเลือกตั้ง ดังนั้น โอกาสที่ไทยจะถูกลดอันดับเครดิตจาก BBB+ เป็น BBB เป็นไปได้มากขึ้น เว้นแต่รัฐบาลจะดำเนินการปรับปรุงวินัยการคลังและกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในมุมของความเสี่ยงทางการคลัง อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่าบริษัทจัดอันดับเครดิตวิเคราะห์ตามเกณฑ์หลัก 4 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ การขาดดุลงบประมาณ ภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ และความสามารถในการจัดเก็บรายได้ พบว่า 2 ใน 4 มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ทำให้แนวโน้มในการถูกปรับลดมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ GDP จะขยายตัวต่ำลงจากภาวะสงครามการค้า
จากรายงานของอินโนเวสท์ เอกซ์ รายละเอียดแนวโน้มความเสี่ยงของแต่ละด้านเป็นดังนี้
ทั้งนี้ แม้ไทยจะมีความเสี่ยงด้านการคลังเพิ่มขึ้น บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ว่า โอกาสที่รัฐบาลจะเร่งขึ้นภาษีในระยะสั้น โดยเฉพาะ VAT ยังต่ำ เนื่องจากการขึ้น VAT 1% แม้จะเพิ่มรายได้ราว 0.8-1.0 แสนล้านบาท แต่จะทำให้ GDP หดตัวราว -0.3% ขณะที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 แสนล้านบาท (คิดเป็น 1% GDP) อาจช่วยเพิ่ม GDP ได้ราว +0.4% หากดำเนินการผ่าน PPP ก็จะไม่เพิ่มภาระหนี้โดยตรง อีกทั้งด้วยอายุทางการเมืองที่เหลือเพียงช่วงสั้นก่อนเลือกตั้งใหม่ โอกาสที่รัฐบาลจะเลือกขึ้นภาษีในทันทีจึงแทบไม่มี
ปัจจุบัน 2 ใน 3 บริษัทจัดอันดับเครดิตชั้นนำได้ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยไปในทิศทางลบ เหลือเพียง S&P ที่ยังคงอันดับ BBB+ พร้อมแนวโน้ม Stable บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่าประเทศไทยอาจมีเวลาเพียง 1-2 ปีในการเสริมสร้างวินัยการคลังและปรับสมดุลเศรษฐกิจให้แข็งแรงขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับลดอันดับเครดิตลงจริงในรอบถัดไป