สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยยังคงน่ากังวล แม้ตัวเลขอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะลดลงในหลายไตรมาสที่ผ่านมา แต่ไส้ในของหนี้ครัวเรือนยังมีหลายส่วนที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะจำนวนหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี และความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง ส่งผลให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น
ตัวเลขจากรายงานของสำนักงานสภาพัฒนการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ระบุว่า จำนวนหนี้ครัวเรือนรวม ณ ไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท ลดลง 0.1% จากไตรมาส 4 ปี 2567 (QoQ) ที่อยู่ที่ 16.43 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 87.4% ลดจาก 88.4% ในไตรมาส 4 ปี 2567
ถึงอย่างนั้นก็ตาม การที่หนี้ครัวเรือนลดลงนั้นไม่ได้เกิดจากการที่คนไทยมีสภาพการเงินที่ดีขึ้น แต่เป็นเพราะสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อน้อยลง อีกทั้งตัวเลขจากสภาพัฒน์ยังชี้ให้เห็นว่าปัญหาสถานการณ์หนี้ครัวเรือนแย่ลง เพราะความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนไทยลดลง เห็นได้จากในไตรมาส 1 ปี 2568 หนี้เสียขยายตัวขึ้น 8.7% โดยส่วนที่ขยายตัวสูงคือ สินเชื่อรถยนต์ที่ขยายตัว 11.3% และหนี้บัตรเครดิตที่ขยายตัว 12.6%
จากที่ อุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นำเสนอผลการสำรวจ ‘สถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2568’ ซึ่งสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,716 คนทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15-22 กันยายน 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 95.1% มีหนี้ครัวเรือน โดยเป็นหนี้ในระบบ 65% และหนี้นอกระบบ 35%
จำนวนหนี้ครัวเรือนเฉลี่ยอยู่ที่ 740,596.94 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 22.1% จากปี 2567 ที่มีจำนวนหนี้ครัวเรือนเฉลี่ย 606,378.38 บาท เป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี นับจากปี 2563 ที่ขยายตัว 42.3% และเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่มีข้อมูลในการนำเสนอย้อนไปถึงปี 2552
ภาระผ่อนชำระหนี้ของครัวเรือนต่อเดือนในปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 22,022.08 บาท แบ่งเป็นในระบบ 20,330 บาท และนอกระบบ 8,023 บาท
ประเภทหนี้สินของกลุ่มตัวอย่างเป็นหนี้จากบัตรเครดิต 46.8%, ที่อยู่อาศัย 40.0%, ยานพาหนะ 37.1%, ประกอบธุรกิจ 35.3%, สินเชื่อส่วนบุคคลอุปโภคบริโภค 20.7%, การศึกษา 7.2% และหนี้ผ่อนชำระสินค้า (ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง) 6.2%
ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างในแต่ละอาชีพมีวัตถุประสงค์การก่อหนี้ที่ต่างกัน คือ ข้าราชการ เป็นหนี้ยานพาหนะมากที่สุด ขณะที่คนประกอบอาชีพรับจ้าง เป็นหนี้บัตรเครดิตมากที่สุด เจ้าของกิจการ เป็นหนี้เพื่อการลงทุนทำธุรกิจมากที่สุด ส่วนเกษตรกรเป็นหนี้สำหรับการลงทุนทำการเกษตรมากที่สุด
สาเหตุทำให้เกิดปัญหานี้ครัวเรือน 5 อันดับแรก คือ (1) รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย (2) สภาพเศรษฐกิจถดถอย (3) การพัฒนาด้านเทคโนโลยีทำให้มีความต้องการซื้อมากขึ้น (4) ความรู้ทางการเงินไม่เพียงพอ และ (5) มีการกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดโปรโมชันลดราคา
ตัวเลขที่บ่งชี้ภาวะความย่ำแย่ของสภาวะหนี้ครัวเรือน คือ กลุ่มตัวอย่าง 74.4% เคยประสบปัญหาการขาดการผ่อนชำระหรือผิดนัดผ่อนชำระในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ซึ่งสัดส่วนอยู่ที่ 71.6%) โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะรายได้ลดลง 42.2% เศรษฐกิจไม่ดี 35.3% มียอดชำระเพิ่ม 11.8% ตกงาน 9.3% และอื่นๆ 1.4%
ส่วนความสามารถในการชำระหนี้ในปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่าง 59.3% ยังสามารถชำระได้ตามกำหนด, 24.3% สามารถชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน, 15.6% สามารถชำระได้ไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษาและพนักงานที่อยู่ในระบบจ้างงานชั่วคราว และ 0.8% ไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้ว
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ 5 อันดับแรก คือ (1) ค่าครองชีพไม่สอดคล้องกับรายได้ (2) ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ (3) สภาพคล่องของธุรกิจ/ครัวเรือน (4) รายได้ที่ได้รับลดลง (5) เศรษฐกิจไม่ดี
คาดการณ์สถานการณ์หนี้ครัวเรือนในช่วง 6 เดือนข้างหน้า กลุ่มตัวอย่าง 25.5% คิดว่าจะดีขึ้นเล็กน้อย, 19.2% คิดว่าจะแย่ลงเล็กน้อย, 14.7% คิดว่าเท่าเดิม, 15.0% ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ และ 13.7% คิดว่าจะดีขึ้นมาก/ปัญหาได้รับการแก้ไข
ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ล่าสุด ฟิทช์ เรตติ้งส์ (Fitch Ratings) เพิ่งลดแนวโน้มเครดิต (Credit Outlook) ของไทยลงเป็น Negative (เชิงลบ) เหตุผลหนึ่งในนั้น คือ สถานการณ์หนี้ครัวเรือน ซึ่งประเทศไทยมีปัญหาหนี้ครัวเรือนมาเป็นเวลา 10 กว่าปี คือ หนี้ครัวเรือนไทยสูงมากกว่า 80% ของจีดีพี แต่ถ้าปีนี้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ 2% ขึ้นไป หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะอยู่ที่ 86.3% ซึ่งจะเป็นเทรนด์ขาลง
ดร.ธนวรรธน์บอกอีกว่า ผลการสำรวจชี้ค่อนข้างชัดว่า เนื่องจากเศรษฐกิจพัฒนา มีความเป็นเมืองสูงขึ้น คนจึงก่อหนี้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนชำระซึ่งมีระบบผ่อนชำระที่ดีขึ้นและมีการตลาดผ่อน 0% ทำให้สามารถผ่อนชำระและซื้อทรัพย์สินได้มากขึ้น หนี้ครัวเรือนเฉลี่ยจึงสูงถึง 740,596 บาทต่อครัวเรือน โดยส่วนใหญ่เกิดจากการซื้อทรัพย์สิน ซึ่งไม่เห็นข้อสังเกตที่ผิดปกติใดๆ แต่อัตราการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นถึง 22.1% ซึ่งถือว่าขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี นับจากปี 2563 ที่ขยายตัว 42.3% สะท้อนนัย 2 นัย คือ เศรษฐกิจไม่ดี และรายได้ครัวเรือนลดลง
“ที่น่าสังเกตจุดแรก คือ หนี้ครัวเรือนที่เป็นหนี้นอกระบบมีสัดส่วนสูงขึ้น หมายความว่าการปล่อยสินเชื่อในระบบตึงตัว อัตราการขยายตัวของสินเชื่อในระบบยังติดลบต่อเนื่องมาประมาณ 3 ไตรมาสเป็นอย่างน้อย ชี้ให้เห็นว่าเมื่อสินเชื่อในระบบที่ตึง ครัวเรือนต้องไปกู้หนี้นอกระบบ เศรษฐกิจเริ่มมีอุปสรรคตรงที่สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ และความผิดปกติที่สอง คือ สินเชื่อมีการขยายตัวในอัตราติดลบมาตลอด ดังนั้น การปล่อยสินเชื่อน่าจะชะลอตัวลง และหนี้เสีย (NPL) น่าจะมีสัญญาณสูงขึ้น ยังไม่ใช่ขาลง เนื่องจากเศรษฐกิจที่มีอุปสรรค กำลังซื้อของครัวเรือนลดลง และรายได้ของภาคธุรกิจจะชะลอลง ปัญหาจะวนไปวนมา
“สิ่งที่เป็นสาเหตุของหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น คือ มีเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด ภาระของครอบครัว รายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายกับค่าของชีพที่สูงขึ้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้สะท้อนว่ามีอุปสรรคทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน พฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไปก็ทำให้เกิดหนี้ เช่น การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น และมีเหตุจูงใจในการซื้อของ อย่างสินค้าเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น …”
ดร.ธนวรรธน์สรุปว่า แม้สาเหตุของหนี้ครัวเรือนจะมีหลากหลาย แต่สาเหตุสำคัญมาจากสภาพเศรษฐกิจ
“โดยสรุป ปัญหาสำคัญมาจากเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลตั้งใจจะดำเนินการแก้ไขคือจะต้องเพิ่มจีพีให้เพิ่มขึ้นอย่างทันท่วงที มหาวิทยาลัยหอการค้าสนับสนุนนโยบาย ‘คนละครึ่ง’ เราเชื่อว่าการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะถูกกระตุ้นอย่างคึกคักขึ้นถ้ามีโครงการคนละครึ่ง ถ้ารัฐบาลใช้วงเงิน 50,000 ล้านบาทขึ้นไปสำหรับทำโครงการคนละครึ่ง น่าจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโตได้มากกว่า 2% ก็หวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้”
นอกจากนั้น ดร.ธนวรรธ์บอกถึงแนวโน้มหนี้ครัวเรือนว่า ถ้าปี 2568 นี้ เศรษฐกิจขยายตัวตามกรณีฐาน 2.0% หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ณ ไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 86.3% ถ้าเศรษฐกิจขยายตัว 2.2% หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ณ ไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 86.1% และถ้ารัฐบาลสามารถทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3%-4% ในระยะปานกลาง คาดว่าหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะลดลงต่ำกว่า 80% ภายใน 3 ปี
“ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาสำคัญซึ่งจะต้องแก้โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มจีดีพี และประเด็นถัดมาที่รัฐบาลจะต้องดูแลด้วยคือ ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาข้าว เพราะฉะนั้น การระบายสินค้าเกษตร การหาตลาดให้เกษตรกร เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำในระยะสั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มอีก และการสนับสนุนสินเชื่อให้ SME เข้าถึงสินเชื่อเป็นสิ่งที่น่าทำ และทำให้อัตราการขยายตัวของสินเชื่อกลับมาเป็นบวกให้ได้ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งถ้าทำได้ จะทำให้สภาพคล่องของประชาชนและธุรกิจดีขึ้น ทำให้การจ้างงานยังคงเส้นคงวาและประชาชนมีรายได้” ดร.ธนวรรธ์ฝากถึงรัฐบาล
นอกจากนั้น การสำรวจ ‘สถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2568’ มีข้อค้นพบต่างๆ ดังนี้
สถานะทางการเงินพื้นฐาน: พบคำตอบที่น่ากังวล คือ 46.3% ไม่เคยเก็บออม ขณะที่ 22.7% มีเก็บออมเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 3-6 เดือน, 21.8% มีการเก็บออมเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 6 เดือนขึ้นไป และ 9.2% มีเก็บออมเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายน้อย 3 เดือน
ลักษณะพฤติกรรมการเก็บออมเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า: 48.6% ไม่มีเงินเก็บออม, 17.6% เก็บออมน้อยลง, 28.9% เก็บออมเท่าเดิม และ 4.9% เก็บออมเพิ่มขึ้น
อัตราการพึ่งพิงในครัวเรือน (อัตราส่วนสมาชิกที่ไม่มีรายได้ต่อผู้ที่มีรายได้) : ลดลงเล็กน้อยจาก 0.370 ในปี 2567 เป็น 0.367 ในปี 2568 ทั้งนี้ ถ้าครัวเรือนใดมีสมาชิกที่มีรายได้มากกว่าสมาชิกที่ไม่มีรายได้ มีโอกาสที่หนี้ครัวเรือนจะลดลง
สถานะการเงินของครัวเรือนในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า: 44.5% มีสถานภาพทางการเงินเหมือนเดิม, 28.4% แย่ลง, 20.7% แย่ลงมาก, 5.2% ดีขึ้น และ 1.2% ดีขึ้นมาก กล่าวคือเกือบ 50% สถานะการเงินแย่ลง และมีเพียง 6.4% ที่สถานะการเงินดีขึ้น
สัดส่วนค่าใช้จ่าย: มากกว่า 60% เป็นการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ใช้จ่ายในความจำเป็นพื้นฐาน โดย 5 อันดับแรก ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 37.6%, ค่าเดินทาง/ยานพาหนะ รวมถึงค่าเชื้อเพลิงค่าบำรุงรักษายานพาหนะ 12.7%, ค่าที่อยู่อาศัย 11.6%, ของใช้ส่วนตัวส่วนบุคคล (เช่น สบู่ ยาสีฟัน เครื่องสำอาง เสื้อผ้า) 10.4% และค่าใช้จ่ายการสื่อสาร 7.5%
สถานะรายได้เทียบกับรายจ่าย: 30.5% มีรายได้พอๆ กับรายจ่าย ไม่เหลือไม่ขาด, 47.3% มีเหลือเก็บ โดยส่วนใหญ่ 21.1% เหลือเก็บในระดับค่อนข้างน้อย ต่ำกว่า 10% ของรายได้ รองลงมา 18.8% เหลือเก็บพอสมควร 10%-30% ของรายได้ และสุดท้าย 7.4% เหลือเก็บมากกว่า 30% ของรายได้ ส่วนกลุ่มที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย ต้องกู้ยืมเพิ่มมี 22.2% ส่วนใหญ่ 12.6% ขาดเล็กน้อยต้องหาเพิ่ม 10% ของรายได้ อีก 6.4% ไม่เพียงพอ ต้องหาเพิ่มประมาณ 10%-30% และอีก 3.2% มีรายได้ไม่เพียงพอ ต้องหากู้มากกว่า 30% ของรายได้
แนวทางแก้ปัญหากรณีไม่เพียงพอ: ผลสำรวจพบว่า 39.9% กู้ยืมจากแหล่งต่างๆ, 32.9% ประหยัดลดค่าใช้จ่าย, 16.9% หารายได้เพิ่ม, 9.9% นำเงินออมมาใช้ และ 0.4% เปลี่ยนไปทำงานที่เงินเดือนสูงกว่า
ทั้งนี้ ในกลุ่ม 39.9% ที่แก้ปัญหาโดยการกู้ยืมนั้น กู้ยืมโดย กดเงินสดจากบัตรเครดิต 19.0% กู้จากธนาคารพาณิชย์ 16.0% กู้จากธนาคารเฉพาะกิจ 14.7% กู้บริษัทให้สินเชื่อ 13.4% กู้จากพี่น้อง 11.8% กู้จากสหกรณ์ 8.5% จำนำสินทรัพย์ 7.2% กู้จากนายทุน 6.9% ซึ่งข้อสังเกตคือ การกู้จากบริษัทให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากปี 2567 ที่มีสัดส่วนเพียง 0.6%
ค่าครองชีพในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่หรือไม่: ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่า 90% บอกว่าส่งผลกระทบให้ความเป็นอยู่แย่ลง 90% โดย 38.2% แย่ลงเล็กน้อย 27.6% แย่ลงมาก 26.8% แย่ลงปานกลาง มีเพียง 7.4% ที่บอกว่าค่าครองชีพในปัจจุบันไม่ส่งผลกระทบความเป็นอยู่เลย
การวางแผนทางการเงิน: วางแผนเป็นรายเดือน 46.8%, มีเป้าหมายทางการเงินระยะกลาง (1-3 ปี) 17.0%, ใช้เงินแบบไม่ได้วางแผนล่วงหน้า 16.9%, วางแผนระยะยาว (5-20 ปี) 12.2% วางแผนเป็นรายสัปดาห์ 7.1% ทั้งนี้ กลุ่มที่ใช้เงินแบบไม่ได้วางแผนล่วงหน้า 21.6% เป็นพนักงานเอกชน และ 17.9% ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป และ 25.4% อายุ 20-29 ปี
อิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้เงิน: ความต้องการส่วนตัว 26.7%, ครอบครัว 26.3%, เพื่อน/เพื่อนร่วมงาน 19.4%, โฆษณาการตลาด 15.0% และอินฟลูเอนเซอร์/KOL 12.6% แต่ถ้าแบ่งตามเจเนอเรชัน พบว่าอันดับค่อนข้างต่างกันมาก โดย Gen Z จะใช้เงินตามความต้องการส่วนตัวมากถึง 30.5% ส่วน Gen Y ใช้เงินตามเพื่อน/เพื่อนร่วมงานมาที่สุด 27.6% Gen X ตามอินฟลูเอนเซอร์/KOL มากที่สุด 28.8% ส่วนเบบี้บูมเมอร์ เชื่อโฆษณา/การตลาดมากที่สุด 29.8%
ลักษะการก่อหนี้: มีเฉพาะหนี้ในระบบ 50.9% มีเฉพาะหนี้นอกระบบ 15.4% มีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ 33.7%
สาเหตุที่หนี้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีก่อนหน้า: สาเหตุ 5 อันดับแรก คือ มีเหตุต้องใช้เงินฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด 12.3% , ภาระการเงินในครอบครัว 10.7%, รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย 9.8%, ค่าครองชีพสูงขึ้น 9.5% และมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมาก 9.4%
การมีหนี้ส่งผลกระทบใดบ้าง: 33.7% เกิดความเครียดความกังวล, 18.3% การทำงาน/ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง, 16.4% ความสัมพันธ์กับครอบครัว/คนรัก, 16.0% การออม/การลงทุน และ 6.2%
ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหานี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน: ผู้ตอบแบบสำรวจตอบว่า เพิ่มรายได้ 16.1%, ให้ความรู้เรื่องการใช้จ่ายอย่างพอเพียง 12.3%, ลดค่าของชีพให้สอดคล้องกับกลุ่มเปราะบาง 11.4%, ให้ความรู้เรื่องการวางแผนการใช้จ่าย 10.0% และเพิ่มสวัสดิการให้กับผู้มีรายได้น้อย 9.8%