การปิดดีลเจรจาภาษีกับสหรัฐฯของไทยที่ 19% ใกล้เคียงกับประเทศในอาเซียนด้วยกัน อาจเป็นข้อดีที่ทำให้ไทยไม่ได้เสียเปรียบประเทศอื่นมากนัก แต่กรณีของเวียดนามที่โดนภาษีสูงกว่าไทย 1% อยู่ที่ระดับ 20% นั้นก็อาจไม่ได้เสียเปรียบประเทศที่ได้ภาษี 19% เหมือนกัน เพราะอย่าลืมว่า นอกจากอัตราภาษีกับสหรัฐฯแล้ว ต้นทุนอื่นๆในการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันหากมีประสิทธิภาพมากกว่า ก็อาจจะมีศักยภาพสูงกว่าประเทศคู่แข่งด้วยซ้ำ
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ วิเคราะห์ว่า ความแตกต่างของอัตราภาษีเพียง 1% แทบไม่มีนัยยะทางการแข่งขันมากนัก เมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตโดยรวม ซึ่งเวียดนามได้เปรียบไทยชัดเจน ทั้งในด้านค่าแรงที่ถูกกว่า 18–25% และต้นทุนพลังงานที่ต่ำกว่า 10–15% ส่งผลให้ราคาสินค้าเวียดนามโดยเฉลี่ยถูกกว่าไทยราว 5–10%
ราคาที่ถูกกว่านี้เองที่ทำให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ มีแนวโน้มเลือกสินค้าจากเวียดนาม แม้จะเสียภาษีมากกว่าไทยเล็กน้อยก็ตาม
จากข้อมูลปี 2024 พบว่า 24 สินค้าส่งออกหลักของไทยและเวียดนามไปยังตลาดสหรัฐฯ “ทับไลน์” กัน โดยเฉพาะกลุ่ม สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสินค้ามูลค่าสูงที่ทั้งสองประเทศต่างก็พยายามเจาะตลาดสหรัฐฯ
สิ่งที่น่าสนใจคือ เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ สูงกว่าไทยเกือบทุกหมวด เช่น
โดยหากเทียบส่วนแบ่งตลาดของ 2 ประเทศไทยกับเวียดนามเท่านั้น พบว่า ภาพรวมเวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯเฉลี่ยที่ 72% ขณะที่ไทยมีเพียง 28% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้ไทยจะเสียภาษีน้อยกว่า แต่เวียดนามครองใจผู้นำเข้าสหรัฐฯ ได้มากกว่าในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมา
รายการสินค้า | เวียดนาม | ไทย | รวม |
คอมพิวเตอร์ | 69.5 | 30.5 | 100 |
โทรศัพท์ | 62.5 | 37.5 | 100 |
เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน | 92.7 | 7.3 | 100 |
ชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริม (อิเลกทรอนิกและเครื่องจักร) | 79.7 | 20.3 | 100 |
เซมิคอนดักเตอร์ | 61.9 | 38.1 | 100 |
เก้าอี้ (ไม่รวมทางการแพทย์) | 96.6 | 3.4 | 100 |
ไมโครโฟน | 93.4 | 6.6 | 100 |
รองเท้าที่มีพื้นรองเท้าด้านนอกทำจากยาง พลาสติก หนัง | 99.7 | 0.3 | 100 |
อุปกรณ์ส่งสัญญาณสำหรับการกระจายเสียงทางวิทยุหรือโทรทัศน์ | 65.0 | 35.0 | 100 |
เสื้อเจอร์ซีย์ เสื้อสเวตเตอร์ เสื้อคาร์ดิแกน เสื้อกั๊ก | 93.1 | 6.9 | 100 |
จอภาพและเครื่องฉาย | 85.9 | 14.1 | 100 |
สินค้าที่ไม่ได้ระบุไว้ในหมวดหมู่อื่น | 73.5 | 26.5 | 100 |
สูทของสตรีหรือเด็กหญิง | 99.1 | 0.9 | 100 |
ลวดและสายเคเบิลหุ้มฉนวน | 87.0 | 13.0 | 100 |
แผ่นดิสก์ เทป อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล | 73.8 | 26.2 | 100 |
วัสดุปูพื้นทำจากพลาสติก | 93.6 | 6.4 | 100 |
สูท ชุดเซ็ต เสื้อแจ็คเก็ตของผู้หญิงและเด็ก | 97.0 | 3.0 | 100 |
หม้อแปลงไฟฟ้า อุปกรณ์ | 39.9 | 60.1 | 100 |
รถสามล้อ สกู๊ตเตอร์ รถถีบเด็ก | 91.3 | 8.7 | 100 |
ล้อยางรถยนต์ | 27.6 | 72.4 | 100 |
ข้าว | 3.4 | 96.6 | 100 |
ผลไม้สด | 14.2 | 85.8 | 100 |
อาหารทะเลแช่แข็ง | 17.2 | 82.8 | 100 |
ถุงมือยาง | 11.5 | 88.5 | 100 |
อีกหนึ่งความเสี่ยงที่ไทยอาจต้องเจอในอนาคตคือ “ภาษีสวมสิทธิ” ซึ่งสหรัฐฯ ใช้กับสินค้าที่ต้องสงสัยว่าแอบอ้างแหล่งกำเนิดเพื่อหลบเลี่ยงภาษีจากจีน โดยเฉพาะกรณีเวียดนามที่สหรัฐฯ เชื่อว่าสินค้าส่งออก 30% เป็นสินค้าสวมสิทธิ (แม้เวียดนามจะอ้างว่าแค่ 17%)
แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ โครงสร้างการผลิตของไทยในหลายอุตสาหกรรม ใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบนำเข้าจากจีนเช่นเดียวกับเวียดนาม หากไม่มีระบบตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าที่ชัดเจน ไทยอาจตกเป็นเป้าในมาตรการภาษี 40% ได้เช่นกัน
ดร.อัทธ์ ได้วิเคราะห์ ผลกระทบการส่งออกไทยและเวียดนาม ปี 2568 (หลังภาษีทรัมป์)
สาเหตุที่ไทยเสียหายมากกว่าเวียดนาม แม้ภาษีต่ำกว่า มาจาก ราคาสินค้าที่แพงกว่า ทำให้แข่งขันได้น้อยลง เมื่อต้องแข่งกับสินค้าทดแทนจากเวียดนามในตลาดเดียวกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยเสียตลาดส่งออกในระยะยาว ดร.อัทธ์ เสนอแนะแนวทางเชิงนโยบายไว้ 4 ข้อที่ควรเร่งดำเนินการทันที ได้แก่
บทเรียนจากดีลเวียดนาม-สหรัฐฯ ทำให้เห็นชัดว่า การต่อรองภาษีให้ต่ำที่สุด ไม่ใช่คำตอบเดียวของความสามารถในการแข่งขัน แต่ไทยต้องปรับโครงสร้างการผลิต ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่า และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบแหล่งกำเนิดสินค้า รวมทั้งหาตลาดใหม่ๆเพื่อลดความผันผวนที่เกิดขึ้นในวันที่การค้าโลกไม่เหมือนเหมือนเดิมอีกต่อไป