ญี่ปุ่นปิดภาษีทรัมป์ที่ 15% แลกเปิดรับข้าวสหรัฐฯ-ลงทุน 17 ล้านล้านบาท
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันพฤหัสบดีที่กรุงวอชิงตัน เพื่อบังคับใช้ข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่น โดยกำหนดอัตราภาษีฐานที่ 15% สำหรับสินค้าญี่ปุ่นส่วนใหญ่ รวมถึงรถยนต์ ข้อตกลงนี้บรรลุผลตั้งแต่เดือนกรกฎาคม หลังจากการเจรจายืดเยื้อหลายเดือน และต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการตกลงรายละเอียดก่อนลงนามอย่างเป็นทางการ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลง ญี่ปุ่นตกลงที่จะลงทุนมูลค่า 5.50 แสนล้านดอลลาร์ในโครงการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้คัดเลือก พร้อมทั้งเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ อาทิ ข้าวโพดและถั่วเหลือง รวมถึงข้าวที่เพิ่มขึ้นถึง 75% ควบคู่กับการจัดซื้อสินค้าเกษตรและพืชผลรวมกว่า 8 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ข้อตกลงยังครอบคลุมการซื้อเครื่องบินโบอิ้งจำนวน 100 ลำ และการเปิดทางให้สหรัฐฯ เข้าถึงตลาดสำคัญของญี่ปุ่นในด้านการผลิต อวกาศ เกษตรกรรม และยานยนต์ ซึ่งทำเนียบขาวระบุว่าเป็น “การเปิดตลาดครั้งสำคัญ” ที่จะยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศไปอีกขั้น
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และตลาดหุ้น
คำสั่งฝ่ายบริหารฉบับล่าสุดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ระบุให้สหรัญฯ เรียกเก็บภาษีฐาน 15% สำหรับสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด ครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ด้านอวกาศ ยาสามัญ และทรัพยากรธรรมชาติ โดยข้อกำหนดใหม่นี้ยังป้องกันไม่ให้มีการเก็บภาษีเพิ่มเติมในลักษณะรายประเทศเกินกว่าที่กำหนด ทั้งยังระบุว่าภาษีที่ปรับลดจะมีผลย้อนหลังกับสินค้าที่ “นำเข้าเพื่อการบริโภคหรือเบิกจากคลังสินค้าเพื่อการบริโภคตั้งแต่เวลา 12:01 น. EDT วันที่ 7 สิงหาคม 2025” ขณะที่การผ่อนปรนภาษีรถยนต์จะเริ่มมีผลภายในเจ็ดวันหลังคำสั่งลงนาม
ก่อนหน้านี้ อัตราภาษี 25% ที่ทรัมป์ใช้บังคับได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะในภาคยานยนต์ของญี่ปุ่น โตโยต้าถึงขั้นเตือนว่าผลกระทบอาจสูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และต้องปรับลดกำไรจากการดำเนินงานลงราว 16% ในปีนี้ ขณะเดียวกันผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ เองก็ไม่พ้นแรงกระแทก ฟอร์ดคาดว่ากำไรก่อนหักภาษีจะหายไปถึง 3 พันล้านดอลลาร์ ส่วนจีเอ็มประเมินความเสียหายไว้ระหว่าง 4-5 พันล้านดอลลาร์
อัตราภาษีที่ลดลงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับตอบสนองเชิงบวกทันที หุ้นมาสด้า มอเตอร์ พุ่งเกือบ 6% ขณะที่นิสสันและซูบารุปรับขึ้นราว 5% ด้านโตโยต้าและฮอนด้าขยับขึ้นกว่า 3% ส่วนผู้ผลิตชิ้นส่วนก็ได้แรงหนุนเช่นกัน NHK Spring กระโดดขึ้น 4.8% แตะระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนมกราคม Koito Manufacturing เพิ่มขึ้น 2% ทำสถิติสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งปี ขณะที่ Denso ผู้ผลิตรายใหญ่และซัพพลายเออร์หลักของโตโยต้า ขยับขึ้นเกือบ 3% ส่งผลให้ดัชนี Nikkei ปรับขึ้นราว 1%
มาซาฮิโระ ยามากุจิ หัวหน้านักวิเคราะห์การตลาดจาก SMBC Trust Bank ระบุว่านักลงทุนรู้สึกคลายกังวลหลังการลงนาม เพราะก่อนหน้านี้ยังมีความเสี่ยงที่ทรัมป์อาจกลับคำ “ตอนนี้เมื่ออัตรา 15% ได้รับการยืนยันแล้ว บริษัทต่าง ๆ สามารถคาดการณ์กำไรได้แม่นยำมากขึ้น” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าคาดการณ์กำไรต่อหุ้นของภาคยานยนต์มีแนวโน้มปรับดีขึ้นเล็กน้อยในปีนี้
ความปั่นป่วนทางการเมืองในญี่ปุ่น
การสรุปข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชิเงรุ อิชิบะ ต้องเผชิญ หลังพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) เผยแพร่รายงานเมื่อต้นสัปดาห์ ระบุว่าสาเหตุหลักที่ทำให้สูญเสียที่นั่งในวุฒิสภาเมื่อเดือนกรกฎาคม มาจากความล้มเหลวในการแก้ปัญหาความกังวลด้านเงินเฟ้อ เรื่องอื้อฉาวทางการเมืองที่สั่นคลอนความเชื่อมั่น และการระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัยหนุ่มสาวที่ยังทำได้ไม่เพียงพอ
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า สมาชิกอาวุโสหลายคนของ LDP แสดงเจตนาลาออก แม้ว่าอิชิบะจะยืนยันชัดเจนว่าจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป สะท้อนแรงกดดันภายในที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เจมส์ เบรดี้ รองประธาน Teneo วิเคราะห์ว่า รายงานของพรรคสะท้อนถึง “การตำหนิอย่างเงียบ ๆ ต่อภาวะผู้นำของอิชิบะ” ด้าน Eurasia Group ประเมินว่า นายกฯ อิชิบะมีโอกาสสูงถึง 60% ที่จะแพ้การท้าทายจากภายในพรรคในการประชุมวันจันทร์หน้า และอาจถูกบีบให้ลาออกก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะเมื่ออดีตนายกรัฐมนตรี อาโซ ทาโร ออกมาสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งพิเศษ ซึ่งยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อผู้นำปัจจุบันอย่างชัดเจน
ที่มา: Nikkei Asia, CNBC
