Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เปิดภารกิจ 'ดรีมทีมเศรษฐกิจ' รัฐบาลอนุทิน 4 เดือนต้องแก้ปัญหาอะไรบ้าง?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เปิดภารกิจ 'ดรีมทีมเศรษฐกิจ' รัฐบาลอนุทิน 4 เดือนต้องแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

11 ก.ย. 68
12:47 น.
แชร์

หลังจากมีกระแสการเก็งตำแหน่งและการปรับครม.ภายใต้การนำของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูลมาหลายวัน ในที่สุดรายชื่อคณะรัฐมนตรีก็เริ่มนิ่ง โดยเฉพาะ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่โดดเด่นตรงการดึงมืออาชีพจากภายนอกเข้ามาเสริม เช่น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ที่ถูกวางตัวเป็นรองนายกฯ และรมว.คลัง, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ CEO ดุสิตธานี ขึ้นนั่งรมว.พาณิชย์ และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีต CEO ปตท. นั่งเก้าอี้รมว.พลังงาน

ขณะเดียวกันยังมีรัฐมนตรีป้ายแดงจากพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาเสริมแนวรบ อาทิ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร (รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จากพรรคกล้าธรรม), นายธนกร วังบุญคงชนะ (รมว.อุตสาหกรรม จากพรรครวมไทยสร้างชาติ) และนายไชยชนก ชิดชอบ (รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จากพรรคภูมิใจไทย)

แม้จะมีเวลาเพียง 4 เดือนก่อนหมดวาระ แต่ทีมเศรษฐกิจใหม่นี้ถูกมองว่าเป็น “ดรีมทีม” ที่ต้องรับมือโจทย์ใหญ่หลากหลาย ทั้งการแก้ปัญหาค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่กดทับประชาชน ปัญหาเงินบาทแข็งที่กระทบการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของไทย ความขัดแย้งชายแดนและภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนแรงกระแทกจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เสี่ยงบั่นทอนการส่งออกของไทยในหลายอุตสาหกรรม

ท่ามกลางภาวะเปราะบางนี้ ทุกสายตาต่างจับจ้องว่า ทีมเศรษฐกิจภายใต้การนำของนายกฯ อนุทิน จะสามารถพิสูจน์ฝีมือและพาเศรษฐกิจไทย “ฝ่าด่านวิกฤต” ได้เพียงใด บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาไปทำความรู้จักคุณสมบัติและเส้นทางการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละคน พร้อมสำรวจว่าภารกิจหนักที่รออยู่เบื้องหน้าสำหรับแต่ละท่านนั้นมีอะไรบ้าง

คลังเตรียมคลอด ‘คนละครึ่ง 2568’ แก้หนี้เสียสูง-บาทแข็ง 

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่ รมว.คลัง เป็นข้าราชการสายเศรษฐกิจที่มีเส้นทางการศึกษาโดดเด่นตั้งแต่ปริญญาตรีเกียรตินิยมเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ทุนสมาคมเศรษฐศาสตร์ฯ) ต่อด้วยทุนรัฐบาลไทยไปเรียนปริญญาโทที่ University of Illinois at Urbana-Champaign และปริญญาเอกที่ Claremont Graduate University สหรัฐอเมริกา ได้รับทั้งรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น นักเศรษฐศาสตร์ดาวรุ่ง และนักเศรษฐศาสตร์ดีเด่นแห่งปี อีกทั้งยังมีดีกรีนักรักบี้เยาวชนทีมชาติไทย

เส้นทางราชการของนายเอกนิติเริ่มจากธนาคารโลกในตำแหน่ง Senior Advisor ก่อนกลับมาเป็นโฆษกคลัง อัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจการคลัง และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ต่อด้วยกรมสรรพสามิต และล่าสุดกรมธนารักษ์ พร้อมบทบาทในบอร์ดองค์กรใหญ่ ทั้งธนาคารกรุงไทย ธนชาต การบินไทย ปตท.สผ. เอ็กซิมแบงก์ และ SME Bank รวมถึงเป็นกรรมการระดับนานาชาติในโครงการ Tax Inspectors Without Borders ของ OECD และ UNDP

ผลงานเด่นของนายเอกนิติคือการผลักดันระบบดิจิทัลสู่กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต จนคว้ารางวัล Digital Government Award ระดับเอเชีย–โอเชียเนีย รวมถึงริเริ่มกองทุน Thailand Future Fund เพื่อสร้างแหล่งระดมทุนใหม่ของรัฐ ลดภาระหนี้สาธารณะ และมีบทบาทในการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจด้วยระบบ Skill Matrix

ด้วยประสบการณ์ที่ครอบคลุมทั้งงานราชการ การทำงานกับธนาคารโลก และการนั่งบอร์ดบริษัทเอกชน นายเอกนิติถูกมองว่าเป็น “คนนอกสายตรง” ที่พิสูจน์ฝีมือด้วยผลงานจริง และในรัฐบาลอนุทิน เขาจะต้องเผชิญกับโจทย์ท้าทายหลายด้าน ไม่เพียงการสานต่อโครงการ ‘คนละครึ่ง’ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและพยุงเศรษฐกิจที่อ่อนแรงจากปัญหาหนี้สินและการท่องเที่ยวที่ซบเซา แต่ยังรวมถึงการจัดการหนี้ครัวเรือน วินัยการคลัง และค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลล่าสุดจากสศช. ระบุว่า ไตรมาส 1 ปี 2568 หนี้ครัวเรือนรวมอยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท หดตัว 0.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 87.4% จาก 88.4% ขณะที่คุณภาพสินเชื่อยังน่ากังวล แม้สัดส่วนหนี้เสียเกิน 90 วัน (NPLs) จะลดลงมาอยู่ที่ 8.78% แต่ยอด NPLs กลับขยายตัวขึ้น 8.7% เป็น 1.19 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกัน สินเชื่อที่ค้างชำระ 1-3 เดือน (SMLs) ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.25% ของสินเชื่อรวม

ด้านวินัยการคลัง ไทยมีหนี้สาธารณะล่าสุด (ก.ค. 2568) 12.22 ล้านล้านบาท หรือ 64.27% ของ GDP ซึ่งเข้าใกล้เพดานกฎหมายที่ 70% โดย IMF เตือนว่าควรลดสัดส่วนลงใกล้ 60% เพื่อสร้างความมั่นคงทางการคลัง ดังนั้นโครงการใหม่ ๆ เช่น “คนละครึ่ง” หรือ “digital wallet” ต้องถูกออกแบบอย่างรอบคอบเพื่อไม่เพิ่มภาระหนี้จนกระทบเสถียรภาพ

อีกปัญหาที่ต้องรับมือและทำงานสอดประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทยคือปัญหาค่าเงินบาทซึ่งแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 31.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สร้างแรงกดดันต่อผู้ส่งออกและทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีกำลังซื้อลดลง กระทบโดยตรงต่อการฟื้นตัวของรายได้ท่องเที่ยวที่เป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจหลังโควิด

ดังนั้น ภารกิจของนายเอกนิติในฐานะรัฐมนตรีคลังไม่ใช่แค่การสานต่อโครงการกระตุ้นการใช้จ่าย แต่ยังรวมถึงการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและ NPLs ที่ยังสูง การควบคุมหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบกฎหมาย และการประคองค่าเงินบาทไม่ให้กระทบส่งออกและท่องเที่ยว ตลอดจนขับเคลื่อนนโยบายที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ผลักดันผ่านสภาแล้ว เช่น หวยเกษียณ และการพัฒนาไทยสู่การเป็น Financial Hub ในภูมิภาค

พาณิชย์รับมือภาษีทรัมป์ต่อ ลุยสกัดสินค้าสวมสิทธิ์

อีกหนึ่งรัฐมนตรีคนนอกสายเศรษฐกิจที่ถูกจับตามองคือ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการทาบทามจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยมีรายงานยืนยันแล้วว่าเธอตอบรับตำแหน่งดังกล่าว

นางศุภจีจบปริญญาตรีจากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโทบริหารธุรกิจที่ Northrop University รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยเน้นด้านการเงินและการบัญชีระหว่างประเทศ เธอยังผ่านหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงจากหลายสถาบัน ทั้งในด้านการตลาดทุน กรรมการบริษัท และกระบวนการยุติธรรม ทำให้มีมุมมองเชิงกลยุทธ์และความเข้าใจเศรษฐกิจโลกอย่างรอบด้าน

ประสบการณ์ทำงานของนางศุภจีโดดเด่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เริ่มจากการทำงานกับ IBM ASEAN กว่า 20 ปี จนก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการทั่วไป ก่อนจะเป็น CEO บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ในปี 2554 พลิกธุรกิจดาวเทียมจากขาดทุนสู่ความมั่นคง ต่อมาในปี 2559 รับตำแหน่ง Group CEO ของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ผลักดันแผน “Repositioning Dusit” และริเริ่มโครงการ Dusit Central Park มูลค่าหมื่นล้านบาท

ปัจจุบันนางศุภจีดำรงตำแหน่งกรรมการในหลายบริษัท เช่น ดุสิต เอสเตท, Baujour International, Bonjour Bakery Asia และสวนลุม พร็อพเพอร์ตี้ อีกทั้งเคยเป็นกรรมการอิสระของธนาคารกสิกรไทย และกรรมการ SCG Packaging ผลงานเหล่านี้ทำให้นางศุภจีได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งใน “50 Over 50 : Asia 2024” ของ Forbes Asia และ “Power Business Woman 2023” ยืนยันบทบาทผู้นำหญิงผู้ทรงอิทธิพลของภูมิภาค

ด้วยประสบการณ์เหล่านี้ นางศุภจีจึงถือเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหาการค้าที่ยังฝังรากลึกจากรัฐบาลก่อนหน้า โดยเฉพาะการเจรจากับสหรัฐฯ ที่แม้ว่าจะได้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าลดลงเหลือ 19% ภายใต้คำสั่งบริหาร “Liberation Day Tariffs” ของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน เพราะศาลค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ และศาลสูงสุดกำลังพิจารณาว่าการใช้อำนาจภายใต้กฎหมาย IEEPA เกินขอบเขตหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้นโยบายดังกล่าวถูกเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ยังมีประเด็นการลักลอบส่งสินค้าหรือ “สินค้าสวมสิทธิ์” (transshipment) ที่อาจทำให้สินค้าบางประเภทของไทยต้องเจออัตราภาษีสูงถึง 40% แทน 19% หากตรวจพบว่ามีการใช้ชิ้นส่วนจากจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมอย่างเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น หรือจอคอมพิวเตอร์ โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยได้ตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎถิ่นกำเนิดสินค้าและเพิ่มความเข้มงวดในการออกใบรับรองถิ่นกำเนิด (C/O) เพื่อป้องกันการใช้เอกสารปลอม อีกทั้งยังขยายรายการสินค้าที่ต้องเฝ้าระวังจาก 49 ประเภท เป็น 65 ประเภท (224 รหัส HS) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านสินค้าสวมสิทธิ์และการละเมิดคุณภาพ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อผู้บริโภคหากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเล็ดลอดเข้าสู่ตลาด 

ในด้านการสนับสนุนภาคธุรกิจ นางศุภจีถูกคาดหวังว่าจะผลักดันให้ผู้ส่งออกไทยเร่งขยายตลาดใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาสหรัฐฯ และขับเคลื่อนการเจรจา FTA โดยเฉพาะ FTA ไทย-อียู ซึ่งยังมีความท้าทายด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้า มาตรฐานความปลอดภัย และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา 

ปัจจัยภายนอกอีกด้านที่ยังเป็นแรงกดดันสำคัญคือปัญหาการค้าชายแดนกับกัมพูชาและเมียนมา ซึ่งยังไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้เนื่องจากความไม่สงบและข้อจำกัดด้านความมั่นคง ส่งผลให้มูลค่าการค้าชายแดนหดตัวอย่างต่อเนื่อง และกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ ตั้งแต่เกษตรกรที่ต้องพึ่งพาการส่งออกผลผลิตไปจนถึงผู้ค้าชายแดนรายเล็กที่อาศัยตลาดข้ามพรมแดนเป็นหลัก 

ล่าสุด นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การที่เมียนมาปิดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 ส่งผลโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าไทย เพราะไม่สามารถขนส่งข้ามแดนได้ ถือเป็นเส้นทางการค้าชายแดนสายสำคัญอีกแห่งที่ถูกปิด หลังจากก่อนหน้านี้ไทยก็เผชิญแรงกระทบจากเส้นทางการค้ากับกัมพูชา

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 กัมพูชาและเมียนมามีมูลค่าการค้าชายแดนกับไทย รวมกันประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยการค้าไทย-กัมพูชามีมูลค่ารวม 9.5 หมื่นล้านบาท ไทยนำเข้าราว 2.2 หมื่นล้านบาท และส่งออกราว 7.2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มูลค่าการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาลดลงราว 30% ต่อเดือน หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย

สำหรับการค้าระหว่างไทย-เมียนมาในครึ่งปีแรกอยู่ที่ราว 1.06 แสนล้านบาท ไทยนำเข้าประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท และส่งออกประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท ทำให้ไทยได้ดุลการค้ากับเมียนมาประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่การปิดด่านชายแดนสำคัญดังกล่าวอาจทำให้แนวโน้มครึ่งปีหลังเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้น

พลังงานเจอโจทย์ลดค่าไฟ-พลังงาน ช่วยประชาชนลดค่าครองชีพ

รัฐมนตรีเศรษฐกิจคนนอกอีกหนึ่งท่านที่ถูกจับตามองอย่างมากคือ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตประจำวันของประชาชน ทั้งเรื่องค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน และความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ อีกทั้งยังต้องสานต่อนโยบายค้างคาหลายด้านจากรัฐบาลก่อน ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงสัญญาสัมปทานก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเพื่อเพิ่มประโยชน์ให้รัฐ การจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) เพื่อดูแลเสถียรภาพราคาน้ำมันแทนการพึ่งพากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง เช่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการจัดทำแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan: NEP) ที่ล่าช้ามาหลายปี

ก่อนหน้านี้ กระทรวงพลังงานภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้กำหนดแนวทาง “รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง” โดยตั้งเป้าแก้ไขกฎหมายพลังงานกว่า 180 ฉบับ แต่ยังมีหลายเรื่องที่ไม่คืบหน้า เช่น การเจรจาสัญญาสัมปทานก๊าซ การสร้างระบบ SPR และการจัดทำ NEP อย่างเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันยังมีนโยบายใหม่ที่ถูกเสนอให้เร่งดำเนินการ เช่น การสร้างโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก (mini-refinery) ในภูมิภาคเพื่อลดการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป การเปิดเสรีการแข่งขันพลังงานให้องค์กรท้องถิ่น เกษตรกร และผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันใช้เองได้ในราคาถูกกว่า เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งที่สูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังให้เร่งเดินหน้านโยบายด้านพลังงานหมุนเวียนที่ยังคงอยู่ในขั้นศึกษา เช่น การกำหนดทิศทางการใช้พลังงานชีวมวลและชีวภาพที่เหมาะสมกับศักยภาพในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทพลังงานหมุนเวียนฉบับใหม่เพื่อสอดคล้องกับพันธกรณีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยในเวทีนานาชาติ ส่วนด้านบุคลากร กระทรวงพลังงานยังต้องเร่งสรรหาและแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าการ กฟผ. ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือกรรมการสำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ปัจจุบันเหลือไม่ครบองค์ประกอบตามกฎหมาย

การทาบทามนายอรรถพลสะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ต้องการผู้มีประสบการณ์จริงและสามารถทำงานได้ทันที โดยนายอรรถพลเป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงพลังงานมากว่า 30 ปี ผ่านทั้งงานสายการตลาด สื่อสารองค์กร งานธุรกิจน้ำมัน และการบริหารกลยุทธ์ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายจนถึงตำแหน่งสูงสุดขององค์กร

นายอรรถพลเกิดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2508 ปัจจุบันอายุ 60 ปี จบการศึกษาปริญญาตรีวิศวกรรมโยธา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และได้รับทุนจาก British Council ไปศึกษาต่อ Diploma of Petroleum Management ที่ College of Petroleum Studies มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร ด้วยพื้นฐานการศึกษาและการทำงานที่แนบแน่นกับวงการพลังงาน ทำให้นายอรรถพลถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาเร่งคลี่คลายปัญหาที่สะสมมานาน ทั้งการควบคุมราคาพลังงานเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน การเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานในระยะสั้น และการวางรากฐานเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในระยะยาว ซึ่งเป็นภารกิจท้าทายที่รอการพิสูจน์จากรัฐบาลชุดใหม่

ท่องเที่ยวลุยแก้ปัญหานักท่องเที่ยวหาย เสริมความเชื่อมั่น

รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลที่ถูกจับตามากที่สุดคนหนึ่งคือ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากพรรคกล้าธรรม เนื่องจากต้องเข้ามาดูแล “ภาคท่องเที่ยว” ซึ่งเป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจไทยในเวลาที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวกำลังเผชิญแรงกดดัน โดยเฉพาะตลาดจีนที่ชะลอลงจากปัญหาความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและปัจจัยเชิงโครงสร้างอื่น ๆ 

ข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 7 ก.ย. 2568 ไทยรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 22.39 ล้านคน ลดลง 7.11% เมื่อเทียบปีก่อน ขณะที่จีนยังเป็นตลาดใหญ่อันดับหนึ่ง คิดเป็น 3.16 ล้านคน ในช่วงเดียวกัน ฝ่ายวางแผนเศรษฐกิจของรัฐได้ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีจาก 37 เหลือ 33 ล้านคน ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดเกือบ 40 ล้านคนในปี 2562 ข้อมูลก่อนหน้านี้เมื่อถึง 13 ก.ค. 2568 ระบุว่ายอดสะสมอยู่ที่ 17.75 ล้านคน ลดลง 5.62% จากปีก่อนหน้า โดยมีมาเลเซียและจีนเป็นสองตลาดอันดับต้น และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดคาดการณ์ทั้งปีจาก 37.5 เหลือ 35 ล้านคน

สาเหตุหลักที่นักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาเต็มที่ มาจากความกังวลด้านความปลอดภัย การสำรวจโดย Dragon Trail International เมื่อเดือนเมษายน 2568 ชี้ว่า กว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามชาวจีนมองว่าไทย “ไม่ปลอดภัย” (ผู้ที่เห็นว่า “ปลอดภัย” มีเพียงราว 19%) ซึ่งสอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของกสิกรไทยและ Krungthai COMPASS ที่ระบุว่าความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนต่อไทยลดลง และการฟื้นตัวของตลาดจีนจึงช้ากว่าที่คาดไว้เมื่อเทียบกับระดับก่อนโควิดที่จีนเคยคิดเป็นเกือบ 28% ของต่างชาติทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหานี้ รัฐบาลก่อนหน้านี้ได้ออกนโยบาย ยกเว้นวีซ่าถาวรให้นักท่องเที่ยวจีน ตั้งแต่ต้นปี 2567 เพื่อพยุงอุปสงค์และสร้างแรงจูงใจด้านการเดินทาง

นอกเหนือจากการฟื้นตัวเชิงโครงสร้าง นายอรรถกรยังอาจต้องสานต่อโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาลก่อนหน้าผลักดันเพื่อสร้างกระแสและรายได้เพิ่มเติม เช่น แผนจัด การแข่งขัน Formula 1 (F1) Bangkok Street Race ที่ครม.ไทยอนุมัติให้ยื่นประมูลเพื่อจัดแข่งตั้งแต่ปี 2571-2575 มูลค่าราว 1.23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 40,000 ล้านบาท) ซึ่งฝ่ายการท่องเที่ยวในช่วงรัฐบาลรักษาการยืนยันว่าจะเดินหน้าโดยไม่สะดุด อีกทั้งยังมี เทศกาลดนตรี Tomorrowland (ไทย) ที่ได้รับไฟเขียวให้จัดในกรอบเวลา 2569-2573 โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท และใช้เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่เข้าสู่เมืองหลักและเมืองรอง

โจทย์สำคัญที่รัฐมนตรีใหม่ต้องเร่งดำเนินการจึงประกอบด้วย การฟื้นความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนผ่านการบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคงและการสื่อสารเชิงรุก การรักษาพอร์ตตลาดโดยกระจายความเสี่ยงไปยังอาเซียน อินเดีย และตะวันออกกลาง รวมทั้งการผลักดันอีเวนต์ระดับโลกอย่าง F1 และ Tomorrowland ให้เกิดผลจริง สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจและยกระดับแบรนด์ประเทศได้อย่างยั่งยืน

อุตสาหกรรมเร่งดึงลงทุน S-Curve เสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทย

นอกจากภาคท่องเที่ยวแล้ว อีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่ถูกจับตามองคือ นายธนกร วังบุญคงชนะ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรครวมไทยสร้างชาติ เนื่องจากภารกิจครอบคลุมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของศักยภาพการแข่งขันระยะยาวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ที่รัฐบาลวางให้เป็นหัวใจในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น 

นอกจากภารกิจด้านการดึงดูดการลงทุนแล้ว ยังมีงานเร่งด่วนที่อาจต้องสานต่อจากสมัยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการจัดการกากอุตสาหกรรมฉบับใหม่ ซึ่งจะเป็นกฎหมายเฉพาะฉบับแรกในการจัดการกากอุตสาหกรรม ครอบคลุมการเพิ่มบทลงโทษสูงสุดถึงปรับ 20 ล้านบาท และโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี สำหรับผู้ลักลอบทิ้งกากพิษ พร้อมทั้งมาตรการป้องกันเชิงระบบ เช่น การจัดตั้งกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืนวงเงินเริ่มต้นราว 30,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับการจัดการปัญหามลพิษและอุดช่องโหว่ของกฎหมายเดิม ร่างกฎหมายดังกล่าวมีโครงสร้างกว่า 143 มาตรา ครอบคลุมทั้งมาตรการเยียวยา การประกันภัย และความรับผิดชอบทางแพ่ง และมีการตั้งเป้าประกาศใช้ในเดือนตุลาคม 2568 

ในเวลาเดียวกัน ยังมีการแก้ไขพระราชบัญญัติโรงงานเพื่อปรับปรุงขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ลดภาระทางธุรกิจและเพิ่มความคล่องตัว โดยมีแนวคิดแยกประเภทโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงงานประเภท 101, 105, 106 ออกมาเพื่อกำกับดูแลเข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะโรงงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีและกากพิษ รวมถึงการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพื่อป้องกันสินค้าต่ำมาตรฐานและการทุ่มตลาดที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ขณะเดียวกัน นโยบายการส่งเสริมการลงทุนด้าน EV ยังถูกปรับปรุง เช่น เงื่อนไข EV3 และ EV3.5 ที่เอื้อต่อการนับรวมการผลิตเพื่อส่งออกเข้าในเงื่อนไขการผลิตในประเทศได้ง่ายขึ้น เพื่อดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่และเชื่อมโยงกับตลาดโลก

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าหน้าที่ของนายธนกรไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการผลักดันอุตสาหกรรม S-Curve ให้แข่งขันได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยกระดับกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมถึงการสร้างเครื่องมือทางการเงินและกองทุนเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว ท่ามกลางการแข่งขันระดับโลกและความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น

DE มุ่งพาไทยสู่ยุคดิจิทัล เสริมประสิทธิภาพหน่วยงานรัฐ

สุดท้าย อีกหนึ่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจป้ายแดงที่ถูกจับตามองคือ นายไชยชนก ชิดชอบ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) จากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถือเป็นคนรุ่นใหม่ในรัฐบาล โดยนายไชยชนกเกิดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 อายุเพียง 35 ปี เป็นบุตรชายคนโตของนายเนวิน และนางกรุณา ชิดชอบ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ เขต 2 ก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต

ด้านการศึกษา ไชยชนกสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมที่ Millfield Preparatory School ประเทศอังกฤษ และจบปริญญาด้านเศรษฐศาสตร์การเงินจากมหาวิทยาลัยในลอนดอน เขายังมีบทบาทโดดเด่นในวงการกีฬา โดยช่วยครอบครัวดูแลสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และสนามแข่งรถช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต อีกทั้งก่อตั้งบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต ที่คว้าแชมป์ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ผลงานเหล่านี้ทำให้เขามีประสบการณ์ด้านการบริหารและการจัดการอีเวนต์มาตั้งแต่อายุยังน้อย

เส้นทางทางการเมืองของนายไชยชนกเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2565 เมื่อบิดาเปิดตัวเขาในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งปี 2566 นายไชยชนกลงสมัครในนามตระกูลชิดชอปรุ่นที่ 3 ต่อจากปู่และบิดา และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เขต 2 จังหวัดบุรีรัมย์ สมัยแรก ปีถัดมาในการประชุมใหญ่พรรคภูมิใจไทย นายไชยชนกได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรคแทนนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อาของเขาที่ลาออกจากตำแหน่ง

ในฐานะรัฐมนตรีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นายไชยชนก ชิดชอบ ถูกจับตาอย่างมากกับภารกิจสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางดิจิทัลของประเทศ ทั้งในเชิงบริการภาครัฐ ความปลอดภัยออนไลน์ และการกำหนดกรอบกติกาใหม่ต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่

การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลถือเป็นแกนหลัก โดยต้องเร่งเดินตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล 2566-2570 ของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ซึ่งวางหลักการ “Open by Default” และการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้ประชาชนเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ผ่านบริการดิจิทัลแบบ One-stop service การเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และการเพิ่มประสิทธิภาพของ Open Data ที่ต้องวัดผลได้ทั้งปริมาณและมูลค่า

อีกหนึ่งโครงการใหญ่คือการพัฒนาระบบ Cell Broadcast เพื่อส่งสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉินทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาร่วมกับ กสทช. ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หลังจากไทยเริ่มทดสอบระบบ CBC/PWS หลายครั้งและวางเป้าหมายใช้งานเชิงปฏิบัติในปี 2568 รวมถึงการสร้างศูนย์กลาง Cell Broadcast Entity (CBE) ระดับประเทศเพื่อให้การส่งสัญญาณครอบคลุมทุกพื้นที่

ในด้านการแก้ปัญหาภัยหลอกลวงออนไลน์ นายไชยชนกต้องเร่งใช้ประโยชน์จากพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลเมื่อเดือนเมษายน 2568 กฎหมายนี้ขยายอำนาจรัฐในการปิดกั้นธุรกรรมทางการเงินที่เข้าข่ายฉ้อโกง ดูแลการจัดการบัญชีม้าและซิมม้า และเพิ่มประสิทธิภาพการอายัด-คืนเงินผู้เสียหาย พร้อมกำหนดให้แพลตฟอร์มดิจิทัลต้องรับผิดชอบต่อการโฆษณาและเนื้อหาหลอกลวง

อีกประเด็นที่ได้รับความสนใจคือการสานต่อร่างกฎหมายปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่อยู่ระหว่างการยกร่างโดย ETDA และกระทรวงดีอีเอส ร่างนี้กำหนดกลไกกำกับดูแลการใช้ AI โดยเฉพาะในกรณีความเสี่ยงสูง เปิดช่องให้รัฐสามารถสั่งระงับหรือกำหนดมาตรฐานการใช้งาน และยังสร้างพื้นที่ “แซนด์บ็อกซ์” ให้ธุรกิจทดลองอย่างปลอดภัย ขณะเดียวกันก็มีการรับฟังความคิดเห็นจากอุตสาหกรรม โดยสมาคมซอฟต์แวร์ BSA ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อปรับให้กฎหมายเอื้อต่อการลงทุนและนวัตกรรม


แชร์
เปิดภารกิจ 'ดรีมทีมเศรษฐกิจ' รัฐบาลอนุทิน 4 เดือนต้องแก้ปัญหาอะไรบ้าง?