ในพิธีเลี้ยงอาหารค่ำของรัฐ ณ สหราชอาณาจักร ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวว่าสายสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอังกฤษนั้น "ไม่มีวันแตกหัก" แต่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลอังกฤษอาจกลัวว่า หากการเยือนอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่เพียงเล็กน้อย อาจจะทำลาย "ความสัมพันธ์พิเศษ" และส่งผลกระทบต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษของเคียร์ สตาร์เมอร์ได้
การเยือนสหราชอาณาจักรครั้งนี้ เป็นจังหวะที่หลายฝ่ายมองว่า การเมืองภายอังกฤษกำลังย่ำแย่ เพราะก่อนที่ทรัมป์จะเดินทางมาถึงเพียงไม่กี่วัน สตาร์เมอร์ได้ปลดปีเตอร์ แมนเดลสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเขามีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ เจฟฟรีย์ เอปสตีน นักการเงินชาวอเมริกัน ที่ถูกตัดสินฐานกระทำความผิดทางเพศ
สื่อใหญ่อย่าง CNN วิเคราะห์ว่า สตาร์เมอร์ต้องแน่ใจว่าการที่แมนเดลสันออกจากตำแหน่ง จะไม่ดึงดูดความสนใจมากเกินไป เพราะเอปสตีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญและคนดังมากมาย รวมถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ และเจ้าชายแอนดรูว์แห่งอังกฤษ ทรัมป์เคยกล่าวว่าเขาเลิกเป็นเพื่อนกับนักการเงินที่น่าอับอายคนนี้ในช่วงกลางทศวรรษ 2000 และไม่ได้พูดคุยกับเขาเป็นเวลาหลายปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในคุกเมื่อปี 2019
ก่อนจะที่ทรัมป์จะเดินทางถึงกรุงลอนดอน กลุ่มนักเคลื่อนไหวฉายภาพของทรัมป์และเอปสตีนนบนปราสาทวินด์เซอร์ในคืนก่อนที่เขาจะมาถึง นักเคลื่อนไหวเหล่านั้นถูกจับกุมไปตามระเบียบ และระหว่างการเยือน สื่อมองว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกกันออกจากสาธารณชนตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เขาเห็นผู้ที่ประท้วง อีกทั้งในการแถลงข่าว สตาร์เมอร์ถูกถามเพียงคำถามเดียวเกี่ยวกับเอปสตีน ซึ่งเขาก็ตอบหลีกเลี่ยงอย่างรวดเร็ว
หากเป้าหมายของรัฐบาลคือการหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย ภารกิจเล็ก ๆ นี้ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่ตอนนี้การเยือนรัฐสิ้นสุดลงแล้ว อังกฤษกำลังประเมินว่า พวกเขาได้อะไรเป็นการตอบแทน สำหรับการเดินทางสองวันเต็ม รัฐบาลอังกฤษได้ต้อนรับด้วยพิธีการอันหรูหรา แล้วสิ่งเหล่านั้นจะซื้ออะไรได้บ้าง?
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์คือ การลงทุนมูลค่า 150,000 แสนล้านปอนด์ หรือราว 203,000 ล้านดอลลาร์) จากบริษัทในสหรัฐฯ ซึ่งเรียกว่า “ข้อตกลงความมั่งคั่งด้านเทคโนโลยี” (Tech Prosperity Deal) ซึ่งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ จะทุ่มงบประมาณ 31,000 ล้านปอนด์ เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และเทคโนโลยีของอังกฤษ
ในขณะที่เงินลงทุนส่วนใหญ่ ประมาณ 90,000 ล้านปอนด์ จะมาจาก Blackstone บริษัทจัดการการลงทุนชั้นนำของโลก ที่เน้นการลงทุนใน สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investments) เช่น อสังหาริมทรัพย์ บริษัทนอกตลาด (Private Equity) สินค้าโภคภัณฑ์ และการลงทุนในกองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Funds) ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นการลงทุนในระยะ 10 ปีต่อจากนี้
รัฐบาลสหราชอาณาจักรอ้างว่า การลงทุนนี้จะสร้างงานประมาณ 7,600 ตำแหน่ง และหวังว่าจะทำให้ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ก่อนการประกาศงบประมาณในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อมั่นในการผลประโยชน์ที่ถูกพูดถึง เนื่องจากการลงทุนส่วนใหญ่เป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งตอนนี้ถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นข้อตกลงเพื่อให้สอดคล้องกับการเยือนของทรัมป์
โอลิเวีย โอซัลลิแวน ผู้อำนวยการโครงการ UK in the World ที่สถาบันวิจัย Chatham House กล่าวกับ CNN ว่า “มีคำถามใหญ่ ๆ เกี่ยวกับรายละเอียดของข้อตกลงเหล่านี้... รวมถึงการที่สหราชอาณาจักรต้องยอมผ่อนปรนอะไรบ้างเพื่อให้แน่ใจว่าจะรักษาสายสัมพันธ์ด้านเทคโนโลยีที่ใกล้ชิดเหล่านี้ไว้ได้”
นิก เคล็กก์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารด้านนโยบายระดับสูงของ Meta จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้เตือนว่าข้อตกลงด้านเทคโนโลยีนี้เป็นเพียง “ของเก่าจากซิลิคอนแวลลีย์” เท่านั้น เขามองว่าสหราชอาณาจักรเป็นเหมือนรัฐบริวารทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในแง่หนึ่ง ข้อตกลงด้านเทคโนโลยีนี้ จึงสะท้อนว่าสหราชอาณาจักรยังต้องพึ่งพาอเมริกา
การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ตามที่เจนเซน หวง ซีอีโอของ Nvidia ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารด้านเทคโนโลยีที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของรัฐเมื่อวันพุธ จะทำให้อังกฤษต้องเพิ่มการผลิตพลังงาน ทรัมป์เคยตำหนิอังกฤษมานานแล้วเกี่ยวกับแผนการที่จะหยุดการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาต้ในประเทศ ซึ่งสามารถช่วยขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูล AI ในอนาคตได้
แต่ทั้งสองประเทศได้พบจุดร่วมในเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรได้ลงนามในข้อตกลงในสัปดาห์นี้เพื่อทำให้การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในทั้งสองประเทศง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากข้อตกลงเหล่านี้ต้องใช้เวลานาน “การพิสูจน์จะอยู่ในผลลัพธ์ที่ตามมา” โอซัลลิแวนกล่าว “ผู้คนในประเทศนี้ต้องการเห็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และสิ่งเหล่านั้นจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้”
ในระยะสั้น เศรษฐกิจของอังกฤษจะยังคงอยู่ในสภาพเดียวกับตอนที่ทรัมป์เดินทางมาถึง ซึ่งอัตราภาษี 10% ของทรัมป์ที่มอบให้อังกฤษนั้น ต่ำกว่าที่เขาใช้กับสหภาพยุโรปประเทศอื่น ๆ อยู่แล้ว และอังกฤษอาจใช้ตัวเลขนี้อวดได้ว่า เป็นประเทศแรกที่ทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ แต่ภาษี 10% ก็ยังคงเป็น 10% และสูงกว่าก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งมาก รวมถึงข้อตกลงทางการค้าก็ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนมากนัก
ก่อนที่ทรัมป์จะเดินทางมาถึง อังกฤษยังหวังว่าสหรัฐฯ จะยกเลิกภาษี 25% ที่ปัจจุบันใช้กับเหล็กที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ซึ่งผลักดันให้อุตสาหกรรมเหล็กของอังกฤษเข้าใกล้จุดวิกฤตมากขึ้น เมื่อเดือนที่แล้ว โรงงานเหล็กที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศได้ล้มละลายและอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล
ในด้านนโยบายต่างประเทศ สตาร์เมอร์สามารถหลีกเลี่ยงข้อพิพาทใหญ่ ๆ ได้สำเร็จ แม้ว่าทรัมป์จะกล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยกับแผนของอังกฤษที่จะรับรองรัฐปาเลสไตน์ในปลายเดือนนี้ แต่เขาก็ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์สตาร์เมอร์อย่างรุนแรงหรือพูดถึงประเด็นนี้มากนัก
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่อังกฤษได้รับจากทรัมป์คือนโยบายที่เหมือนกับทรัมป์มากขึ้นเรื่อย ๆ ไนเจล ฟาราจ ผู้นำพรรค Reform UK กำลังมีคะแนนนิยมนำหน้าพรรคแรงงานของสตาร์เมอร์อย่างมาก โดยให้คำมั่นว่า จะ “ทำให้อังกฤษกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” และลดขนาดของรัฐบาลอังกฤษในแบบ DOGE-style
ฟาราจได้ตามรังควานพรรคแรงงานอย่างไม่ลดละเกี่ยวกับปัญหาในการควบคุมการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทำให้สตาร์เมอร์รู้สึกไม่สบายใจในตอนท้ายของการแถลงข่าว เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความพยายามในการหยุดการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายตามแนวชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ ทรัมป์บอกสตาร์เมอร์ว่าเขาควร “เรียกทหารออกมา” เพื่อจัดการกับปัญหานี้ในอังกฤษ คำแนะนำของเขาอาจยิ่งเพิ่มความกล้าให้กับฝ่ายค้านขวาจัดที่กำลังไม่พอใจของอังกฤษ