หากคุณเดินทางไปฝรั่งเศสในช่วงนี้ คุณอาจจะเจอกับการให้บริการที่สนามบินล่าช้า หรือแม้แต่สถานีรถไฟที่ปิดให้บริการ ทั้งหมดนี้เกิดจากบรรดาผู้ประท้วงรัฐบาลลงถนนเดินขบวนและผละงานในหลายเมืองใหญ่
การประท้วงที่เกิดขึ้นมีเป้าหมายเพื่อต่อต้านการตัดลดงบประมาณของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ท่ามกลางวิกฤตขาดดุลและหนี้ล้นตัว
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (18 กันยายน) สหภาพแรงงานหลายสิบแห่ง รวมตัวออกมาประท้วงและผละงาน ทั้งในกรุงปารีส ลียง ลีล มาร์เซย์ เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจของนโยบายเศรษฐกิจ
ความไม่พอใจครั้งใหม่ของประชาชนเริ่มขึ้น หลังจากนายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ บายรูว์ ลาออกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังมีการลงมติไม่ไว้วางใจเขา และหลังจากนั้น มาครงก็เลือกเซบาสเตียน เลอคอร์นู ขึ้นมาเป็นนายกฯ คนใหม่ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนยิ่งขึ้นไปอีก
การประท้วงในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมามีขึ้นหลังเกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ใช้ชื่อว่า “Block Everything” หรือปิดกั้นทุกอย่างให้หมด โดยผู้ประท้วงหลายร้อยคนถูกจับจากการชุมนุม ซึ่งคาดว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทั่วประเทศมีผู้ออกมาเข้าร่วมถึง 175,000 คน และเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากก็ถูกส่งลงพื้นที่เพื่อรับมือ
ผู้ประท้วงรวมตัวกันตั้งแต่เช้าในหลายเมืองทั่วฝรั่งเศส รวมถึงกรุงปารีส เพื่อปิดถนนและทางหลวง ส่งผลให้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง เช่น ประตูชัย (Arc de Triomphe) พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ และบางสถานีรถไฟใต้ดินในกรุงปารีส ต้องปิดทำการหรือเปิดให้บริการบางส่วน
ขณะเดียวกัน คาดการณ์ว่า มีครูราวหนึ่งในสามที่เข้าร่วมการผละงาน หลายโรงเรียนต้องหยุดการเรียนการสอน ขณะที่ร้านค้าและร้านขายยาส่วนใหญ่ก็ไม่เปิดให้บริการเช่นกัน
ที่กรุงปารีส เกิดการปะทะระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจขณะเจ้าหน้าที่พยายามรื้อถอนเครื่องกีดขวางออก ขณะที่นักเรียนในกรุงปารีส เมืองมาร์กเซย์ และเมืองแรนส์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ก็เข้าร่วมการเคลื่อนไหวด้วย โดยมีการปิดทางเข้าโรงเรียน และบางคนชูป้ายข้อความว่า “เก็บภาษีคนรวย”
ด้านบริษัท SNCF ผู้ให้บริการรถไฟแห่งชาติ ออกแถลงการณ์เช้าวันพฤหัสบดีว่า เกิดปัญหาติดขัดเล็กน้อยกับรถไฟความเร็วสูงในฝรั่งเศสและยุโรป แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ยังคงให้บริการได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม การให้บริการรถไฟภูมิภาค รวมถึงรถไฟใต้ดินและรถไฟชานเมืองของกรุงปารีส คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง หลังจากมีพนักงานขับรถไฟถึง 91% ในเมืองหลวงยื่นหนังสือแจ้งผละงาน ขณะที่การเดินทางทางอากาศได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องได้เลื่อนแผนการนัดผละงานออกไปเป็นเดือนตุลาคม
ส่วนบริษัทสาธารณูปโภค EDF ได้ลดการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ลง 1.1 กิกะวัตต์ หลังพนักงานลดกำลังผลิตเพื่อเข้าร่วมการผละงานประท้วง
เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า มีการจับกุมผู้ประท้วงแล้ว 181 คนทั่วประเทศภายในช่วงบ่าย และมีผู้ชุมนุมนอกกรุงปารีสมากกว่า 450,000 คน ส่วนในกรุงปารีสเอง ตำรวจระบุว่า มีผู้เข้าร่วมเดินขบวนอีก 55,000 คน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของสหภาพแรงงาน CGT ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการนัดหยุดงานและการชุมนุมครั้งนี้ ประเมินว่า มีผู้ผละงานและผู้ประท้วงทั่วประเทศมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขของตำรวจเกือบสองเท่า
ภายในเวลาไม่ถึงสองปี ฝรั่งเศสต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 5 คน ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ทางการเมืองที่ซับซ้อนยิ่งกว่ายุคความวุ่นวายหลังสงครามของกรุงโรมเสียอีก
ล่าสุด รัฐสภาฝรั่งเศสที่ถูกปรับโฉมใหม่หลังจากประธานาธิบดีประกาศเลือกตั้งก่อนกำหนดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 กำลังประสบปัญหาในการจัดตั้งเสียงข้างมากที่เพียงพอสำหรับการผ่านร่างงบประมาณ
ในขณะที่ความนิยมของมาครงเริ่มเสื่อมถอย ปัญหาหลักมาจากนโยบายเศรษฐกิจของเขาที่ประชาชนไม่พอใจ แต่แท้จริงแล้ว ปัญหาของฝรั่งเศสสะสมมานานกว่านั้น
BBC เขียนในบทความว่า ถ้าให้สรุปง่าย ๆ ก็คือ รัฐบาลฝรั่งเศสใช้จ่ายเงินมากกว่าที่หาได้มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ส่งผลให้ต้องกู้ยืมเพื่อครอบคลุมงบประมาณ
รัฐบาลฝรั่งเศสระบุว่า หนี้สาธารณะอยู่ที่ 3.345 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็น 114% ของ GDP ในช่วงต้นปี 2025 ตัวเลขนี้เป็นหนี้สาธารณะที่สูงเป็นอันดับสามในเขตยูโรโซน รองจากกรีซและอิตาลี และเทียบเท่ากับหนี้เกือบ 50,000 ยูโรต่อพลเมืองฝรั่งเศสหนึ่งคน
การขาดดุลงบประมาณเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 5.8% ของ GDP และคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 5.4% ดังนั้น หนี้สาธารณะจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป เนื่องจากการกู้ยืมเพื่อชดเชยส่วนที่ขาด
นอกจากนี้ ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับปัญหาด้านประชากรศาสตร์ที่น่าปวดหัวจากประชากรสูงวัยเช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง นั่นคือมีจำนวนผู้เสียภาษีน้อยลง และมีผู้ได้รับเงินบำนาญของรัฐมากขึ้น นายบายรูว์เป็นหนึ่งในนักการเมืองฝรั่งเศสที่ต้องการลดการขาดดุลด้วยการปรับเปลี่ยนโครงการสวัสดิการสังคมที่มีอยู่มากมาย เช่น เงินบำนาญของรัฐ
ก่อนหน้านี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch ได้ปรับลดอันดับหนี้ของฝรั่งเศสลง ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลกู้ยืมได้ยากขึ้นและมีต้นทุนสูงขึ้น สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเสถียรภาพและศักยภาพในการชำระหนี้ของประเทศ
ดังนั้น การที่ฝรั่งเศสจะต้องหันไปพึ่งพาเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือขอความช่วยเหลือจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดกับประเทศขนาดใหญ่อย่างฝรั่งเศส