นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฟรองซัวส์ บายรูว์ ได้แพ้การลงคะแนนไม่ไว้วางใจจากสมาชิกรัฐสภา ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งหลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง 9 เดือน ท่ามกลางช่วงเวลาที่สภาแห่งชาติ (National Assembly) ของประเทศตกอยู่ในความวุ่นวาย
นายบายรูว์ วัย 74 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ในช่วงเวลา 2 ปีภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเขาถูกบดบังด้วยความไม่มั่นคงทางการเมือง
รัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายกรัฐมนตรีที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ได้เรียกร้องให้มีการตัดงบประมาณ 4.4 หมื่นล้านยูโร (ประมาณ 3.8 หมื่นล้านปอนด์) เพื่อแก้ไขหนี้สาธารณะของฝรั่งเศสที่เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้รัฐบาลดังกล่าวก็ได้ล่มสลายลงแล้ว
ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ได้ตัดสินใจเสี่ยงครั้งใหญ่ในเดือนมิถุนายน 2024 เมื่อพรรคการเมืองของเขาเผชิญกับความพ่ายแพ้ในการลงคะแนนเสียงของรัฐสภายุโรป เขาจึงตัดสินใจยุบสภาและจัดการเลือกตั้งรัฐสภาใหม่ โดยหวังว่าจะได้รับ “เสียงข้างมากที่ชัดเจน” เพื่อนำมาซึ่งความสงบและกลมเกลียวภายในรัฐบาล
แต่ผลกลับออกมาว่า รัฐสภาฝรั่งเศสเสียงแตกและถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับนายกรัฐมนตรีคนใดก็ตามที่จะได้รับการสนับสนุนเพียงพอในการผ่านร่างกฎหมายและงบประมาณประจำปี
ทั้งนี้ นายมาครงได้แต่งตั้งนายมิเชล บาร์นิเยร์ เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ภายในสามเดือน ชายผู้ที่ได้รับชื่อเสียงจากการเจรจาเรื่อง Brexit ให้กับสหภาพยุโรปก็ต้องออกจากตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์นับตังแต่มีสงครามฝรั่งเศส
ขณะนี้นายบายรูว์ก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน หลังจากเข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาได้ไม่ถึง 9 เดือน ซึ่งเขาจะลาออกอย่างเป็นทางการในวันนี้ (9 กันยายน 2568) และบางพรรคการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายขวาจัดและฝ่ายซ้ายจัด ยังคงเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนกำหนดด้วย แต่นายมาครงได้กล่าวมาโดยตลอดว่าจะไม่ลาออกก่อนที่วาระของเขาจะสิ้นสุดลงในปี 2027
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ นายมาครงต้องเลือกระหว่างการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ห้าในเวลาไม่ถึงสองปี ซึ่งจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านที่ไม่สามารถแก้ไขได้แบบเดิม หรือจัดการเลือกตั้งรัฐสภาใหม่และเสี่ยงที่จะได้สภาแห่งชาติที่เป็นปรปักษ์มากยิ่งขึ้นไปอีก
ปัจจุบัน อาจมีทางเลือกที่ดีไม่มากนักสำหรับประธานาธิบดีมาครง เนื่องจากผลพวงจากการตัดสินใจยุบสภาในเดือนมิถุนายน 2024 ยังคงส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และสำหรับประเด็นหลักที่ทำให้นายบายรูว์ต้องหลุดจากเก้าอี้ คือวิกฤตหนี้สาธารณะของฝรั่งเศส และนโยบายลดการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อป้องกันหายนะสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต
BBC เขียนในบทความว่า ถ้าให้สรุปง่าย ๆ ก็คือ รัฐบาลฝรั่งเศสใช้จ่ายเงินมากกว่าที่หาได้มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ส่งผลให้ต้องกู้ยืมเพื่อครอบคลุมงบประมาณ
รัฐบาลฝรั่งเศสระบุว่า หนี้สาธารณะอยู่ที่ 3.345 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็น 114% ของ GDP ในช่วงต้นปี 2025 ตัวเลขนี้เป็นหนี้สาธารณะที่สูงเป็นอันดับสามในเขตยูโรโซน รองจากกรีซและอิตาลี และเทียบเท่ากับหนี้เกือบ 50,000 ยูโรต่อพลเมืองฝรั่งเศสหนึ่งคน
การขาดดุลงบประมาณเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 5.8% ของ GDP และคาดว่าอปีนี้จะอยู่ที่ 5.4% ดังนั้น หนี้สาธารณะจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป เนื่องจากการกู้ยืมเพื่อชดเชยส่วนที่ขาด
นอกจากนี้ ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับปัญหาด้านประชากรศาสตร์ที่น่าปวดหัวจากประชากรสูงวัยเช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง นั่นคือมีจำนวนผู้เสียภาษีน้อยลง และมีผู้ได้รับเงินบำนาญของรัฐมากขึ้น นายบายรูว์เป็นหนึ่งในนักการเมืองฝรั่งเศสที่ต้องการลดการขาดดุลด้วยการปรับเปลี่ยนโครงการสวัสดิการสังคมที่มีอยู่มากมาย เช่น เงินบำนาญของรัฐ
ในการปราศรัยต่อรัฐสภาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายบายรูว์ได้พูดถึงเศรษฐกิจฝรั่งเศสที่ยังอยู่ต่อได้ทุกวันนี้เพราะ "เครื่องช่วยหายใจ" และยังเผชิญนิสัยเสพติดการใช้จ่าย
เมื่อสองปีที่แล้ว ฝรั่งเศสได้เพิ่มอายุเกษียณจาก 62 ปีเป็น 64 ปีสำหรับผู้ที่เกิดในปี 1968 หรือหลังจากนั้น และนายบายรูว์ได้เตือนว่า แนวคิดที่ว่าคนงานฝรั่งเศสสามารถหยุดทำงานในช่วงต้นวัย 60 ปีได้นั้นล้าสมัยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม มีการต่อต้านอย่างมากต่อการลดงบประมาณเพิ่มเติม
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้านายบายรูว์ก็ได้ล่มสลายในการลงคะแนนไม่ไว้วางใจในประเด็นนี้เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ขณะที่นักการเมืองฝ่ายซ้ายได้เรียกร้องให้มีการขึ้นภาษีแทนการตัดงบประมาณ
ฝรั่งเศสอาจจะมุ่งหน้าสู่ช่วงเวลาแห่งความสงสัย ความไร้ทิศทาง และการคาดเดาอีกครั้ง เป็นไปได้ว่านายมาครงจะดำเนินการอย่างรวดเร็วในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างแน่นอนหากเขาทำเช่นนั้น แต่ในทางปฏิบัติ กระบวนการนี้อาจใช้เวลานาน เนื่องจากนายมาครงต้องหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเพียงพอ ที่จะไม่ถูกโค่นล้มง่าย ๆ ในแบบเดิม
ก่อนหน้านี้ กว่าจะได้นายกรัฐมนตรีสองคนแรกของรัฐสภาภายใต้การนำของมาครง ได้แก่ นายบาร์นิเยร์และนายบายรูว์ ก็ใช้เวลาหลายสัปดาห์ ดังนั้นการหาคนที่สามจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ในระหว่างนี้ คาดว่านายบายรูว์จะยังคงทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการไปก่อน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาครงมีความกดดันจากบางฝ่าย โดยเฉพาะจากพรรค National Rally ของนางมารีน เลอ เปน ที่หวังให้มีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งรัฐสภาใหม่ แต่ก็มีเสียงคัดค้านที่หนักแน่นเช่นกัน โดยกล่าวว่ามันจะเป็นการเสียเวลา เพราะการลงคะแนนเสียงครั้งใหม่ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก นอกจากนั้น ก็ยังมีเสียงจากฝ่ายซ้ายจัดในครั้งนี้ที่เรียกร้องให้นายมาครงลาออก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น