ผลสำรวจล่าสุดของ Jobsdb ในปี 2567 สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานไทยอย่างชัดเจน เมื่อกว่า 25% ขององค์กรในประเทศมีแนวโน้มจะลดจำนวนพนักงานประจำเต็มเวลา และหันมาใช้แรงงานไม่เต็มเวลาในสัดส่วนที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำไม่เต็มเวลา หรือพนักงานสัญญาจ้างและชั่วคราวแบบพาร์ตไทม์ การปรับเปลี่ยนดังกล่าวกลายเป็นทางเลือกขององค์กรจำนวนมากที่ต้องการลดต้นทุนท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อธิบายว่า ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงนี้มีทั้งแรงกดดันด้านค่าใช้จ่าย การพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้องค์กรไม่จำเป็นต้องจ้างแรงงานฟูลไทม์ทุกตำแหน่ง และกระแส Gig Economy ที่แรงงานรุ่นใหม่จำนวนมากหันไปทำงานหลายจ็อบหรือรับงานสั้น ๆ แทนการทำงานประจำตลอดเวลา แม้รูปแบบการจ้างงานใหม่จะช่วยให้องค์กรคล่องตัวขึ้น แต่ก็สร้างความเปราะบางต่อแรงงานในเรื่องรายได้ ความมั่นคงในการทำงาน และสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายที่อาจไม่ได้รับอย่างครบถ้วน
ข้อมูลจาก JobsDB ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเห็นได้ชัดในองค์กรขนาดใหญ่ โดยในปี 2565 สัดส่วนการจ้างพนักงานประจำไม่เต็มเวลาอยู่เพียง 6% แต่ปี 2567 ตัวเลขพุ่งขึ้นเป็น 42% ส่วนการจ้างพนักงานสัญญาจ้างพาร์ตไทม์เพิ่มจาก 4% ในปี 2565 เป็น 28% ภายในสองปี
นายดนุชา ระบุว่า รูปแบบการจ้างงานที่ชั่วคราวมากขึ้นเป็น “กลยุทธ์องค์กร” เพื่อปรับตัวเข้ากับสภาพเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน หากเศรษฐกิจผันผวน บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานได้รวดเร็ว ไม่ต้องแบกรับภาระฟูลไทม์ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าหากไม่มีมาตรการคุ้มครองที่เหมาะสม แรงงานอาจไม่ได้รับค่าจ้างและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอย่างครบถ้วน
นอกจากนี้ กระแสการเปิดโครงการ “สมัครใจลาออก” โดยเฉพาะในแรงงานอายุ 45 ปีขึ้นไปก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องพิจารณา เพราะหลายองค์กรใช้วิธีนี้เพื่อลดสัดส่วนแรงงานที่มีค่าจ้างสูง และเปิดทางให้แรงงานรุ่นใหม่ที่ต้นทุนต่ำกว่าเข้ามาแทนที่
ในด้านภาพรวมตลาดแรงงานในไตรมาสสอง ปี 2568 สภาพัฒน์รายงานว่า ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยมีผู้มีงานทำรวม 39.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ 0.02% การจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรมขยายตัว 0.4% ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้าที่เติบโตสูงถึง 7.9% รองลงมาคือสาขาโรงแรมและภัตตาคารที่ยังขยายตัวได้ที่ 3.1% ขณะที่การผลิตฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 0.5%
ในทางกลับกัน สาขาการก่อสร้างและค้าปลีก/ค้าส่งกลับหดตัวลงที่ 3.7% และ 1.2% ตามลำดับ ส่วนภาคเกษตรกรรมยังคงหดตัว 0.9% ต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักและน้ำท่วมตั้งแต่ต้นปี นอกจากนี้ ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยในภาพรวมลดลงเล็กน้อยที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แม้ภาคเอกชนยังทำงานเฉลี่ย 46.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่แรงงานที่ทำงานล่วงเวลาเกิน 50 ชั่วโมงลดลงถึงร้อยละ 8 เหลือ 6.3 ล้านคน
ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 14,370 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้น 2.4% จากปีก่อน ขณะที่แรงงานในระบบได้รับค่าจ้างเฉลี่ย 15,712 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้น 2.5% อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานทุกสถานภาพรวมกันจะอยู่ที่ 15,977 บาทต่อเดือน ซึ่งลดลง 1.9% สะท้อนว่าแรงงานอาชีพอิสระมีรายได้ถดถอยลง
ด้านการว่างงาน มีผู้ว่างงานราว 370,000 คน ลดลง 14.8% จากปีก่อน คิดเป็นอัตราว่างงาน 0.91% กลุ่มผู้ว่างงานที่เคยทำงานลดลงถึง 25.6% ส่วนผู้ที่ไม่เคยทำงานลดลงเพียง 6.6% แม้ภาพรวมลดลง แต่ผู้จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษายังมีอัตราว่างงานสูงสุดต่อเนื่อง และจำนวนผู้ว่างงานระยะยาวกลับเพิ่มขึ้น 4.6% หรือ 73,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวอายุ 20-29 ปี ขณะเดียวกัน ผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านคน หรือขยายตัว 5.2% โดยกว่าครึ่งอยู่ในภาคเกษตรกรรม
แม้การจ้างงานโดยรวมยังไม่ถดถอย แต่ตลาดแรงงานไทยกำลังเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายด้านพร้อมกัน โดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของไทย โดยในไตรมาสสอง มูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็น 20.6% ของทั้งหมด สินค้าหลักได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยาง ยานยนต์ และอาหารทะเลแปรรูป แต่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการเก็บภาษีเข้ม ทั้งภาษีเฉพาะสินค้า เช่น เหล็กและอลูมิเนียม 50% รถยนต์และชิ้นส่วน 25% รวมถึงการจัดเก็บภาษีตอบโต้กับไทยสูงถึง 19% และภาษีสินค้าสวมสิทธิที่อาจสูงถึง 40% หากไทยไม่สามารถพิสูจน์แหล่งกำเนิดสินค้าได้อย่างชัดเจน ภาระภาษีเหล่านี้อาจทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องลดกำลังการผลิต หรือตัดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน
อีกด้านหนึ่งคือการขาดแคลนแรงงานต่างด้าว ซึ่งยังเป็นปัญหาต่อเนื่อง ล่าสุดพบว่าแรงงานต่างด้าวกว่า 388,000 คนยังไม่ได้ต่ออายุใบอนุญาตทำงาน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานเมียนมาและกัมพูชา ขณะเดียวกันรัฐบาลกัมพูชาก็ใช้มาตรการเข้มงวดในการดึงแรงงานกลับประเทศ กระทบต่อทั้งภาคก่อสร้างและการผลิตที่พึ่งพาแรงงานกลุ่มนี้อย่างมาก แม้ปัจจุบันรัฐบาลไทยได้อนุมัติความร่วมมือเพื่อเปิดรับแรงงานใหม่จากศรีลังกา เนปาล ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่ยังต้องติดตามว่ามาตรการจะเพียงพอต่อการทดแทนแรงงานที่ขาดไปหรือไม่
สุดท้าย ปัญหาความปลอดภัยในการทำงานมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ข้อมูลสำนักงานประกันสังคมระบุว่า อัตราการประสบอันตรายจากการทำงานเพิ่มขึ้นจาก 6.55% ในปี 2565 เป็น 7.23% ในปี 2567 มีผู้ประสบอันตรายกว่า 87,000 ราย โดยเฉพาะในสถานประกอบการขนาดใหญ่ แม้กรณีเสียชีวิตและพิการยังมีสัดส่วนน้อย แต่ปี 2567 ก็ยังพบผู้เสียชีวิตถึง 595 คน และทุพพลภาพอีก 16 คน ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลต่อแรงงาน แต่ยังมีผลกระทบต่อครอบครัวและเศรษฐกิจในระยะยาว