Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
กูรูชี้ไทยรับสินค้าเกษตรสหรัฐฯดี2เด้ง ถูก-CO2ต่ำ แต่เนื้อหมูต้องคุม
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

กูรูชี้ไทยรับสินค้าเกษตรสหรัฐฯดี2เด้ง ถูก-CO2ต่ำ แต่เนื้อหมูต้องคุม

6 ส.ค. 68
15:55 น.
แชร์

หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้อัตราภาษีตอบโต้ใหม่กับประเทศไทยในอัตรา 19% ภาคเกษตรกรรมไทยและธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่างต้องเร่งประเมินสถานการณ์อย่างเร่งด่วน เนื่องจากข้อตกลงแลกเปลี่ยนที่แนบมากับมาตรการภาษีดังกล่าว เปิดโอกาสให้สินค้าสหรัฐฯ อย่างเชอรี่ ถั่วเหลือง และข้าวโพด เข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและผลประกอบการของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมเหล่านี้อย่างมีนัยสำคัญ

ในการสัมมนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญและผู้นำภาคธุรกิจด้านสินค้าเกษตรของไทย อาทิ รศ. ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อผลกระทบของมาตรการภาษีดังกล่าว โดยชี้ให้เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมเสนอข้อเสนอแนะในการปรับตัวของธุรกิจเกษตรไทย เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางการค้าและแข่งขันได้อย่างยั่งยืนภายใต้บริบทใหม่ของนโยบายสหรัฐฯ

โครงสร้างภาษีไทย อุปสรรคสำคัญของการแข่งขันในยุคทรัมป์

รศ. ดร. นิพนธ์ กล่าวว่า การทำความเข้าใจสถานการณ์ภาคเกษตรของไทยจำเป็นต้องเริ่มจากการพิจารณาโครงสร้างภาษีและอุปสรรคทางการค้าอื่น ๆ ของประเทศอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นภาษีนำเข้า อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) หรืออุปสรรคทางเทคนิค (TBTs) ที่ยังคงฝังอยู่ในระบบกฎระเบียบของไทย และยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

แม้ประเทศไทยจะเริ่มกระบวนการปฏิรูปภาษีตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปี 2550 ทำให้อัตราการคุ้มครองโดยรวมลดลง แต่โครงสร้างภาษีก็ยังคงสะท้อนความพยายามในการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น วัตถุดิบมีอัตราภาษีอยู่ในระดับศูนย์หรือใกล้เคียงศูนย์ สินค้ากึ่งสำเร็จรูปเก็บภาษีประมาณ 5% และสินค้าสำเร็จรูปอยู่ที่ประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าที่รัฐต้องการคุ้มครองเป็นพิเศษกลับมีอัตราภาษีสูงมาก และในบางกรณียังมีการกำหนดกำแพงภาษีโดยไม่มีเหตุผลรองรับ เช่น การเก็บภาษีในระดับสูงสำหรับสินค้าที่ไทยไม่ได้ผลิตเองอย่างมันฝรั่ง แอปเปิ้ล และแพร์

รายงานจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับโครงสร้างภาษีและกฎระเบียบของไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 โดยเรียกร้องให้ไทยดำเนินการปรับปรุง แต่ไทยได้ตอบสนองเพียงบางส่วนเท่านั้น โดยในปี 2567 อัตราภาษี average most favored nation tariff หรืออัตราภาษีที่ไทยใช้ต่อสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ตามหลักของ WTO ของไทยลดลงเพียงเล็กน้อยจาก 10.4% เหลือ 9.8% ขณะที่ภาษีตามมูลค่ายังอยู่ในระดับสูงที่ 50-80% 

สำหรับกลุ่มสินค้าเกษตรของไทย ปัจจุบันมีอัตราภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ 24% ส่วนสินค้าอาหารแปรรูปบางรายการมีภาษีสูงถึง 30-50% โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ เนยสด และถั่ว แม้บางรายการจะไม่มีการผลิตในประเทศเลยก็ตาม เช่น มันฝรั่งสำหรับทำเฟรนช์ฟรายส์ แอปเปิ้ล และแพร์ แต่กลับยังคงถูกจัดเก็บภาษีในอัตราสูงอยู่ในระดับ 30-40%

รศ. ดร. นิพนธ์ ยังอธิบายว่า อุปสรรคไม่ได้มีเพียงเรื่องอัตราภาษีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบการอนุญาตให้นำเข้าสินค้าที่ต้องผ่านกระบวนการขอใบอนุญาต (import licensing) และการจำกัดปริมาณการนำเข้า (quantitative restriction) 19 รายการ และการเก็บภาษีซ้ำซ้อนหลายชั้น ได้แก่ ภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต และภาษีเทศบาล ซึ่งทั้งหมดคิดจากราคานำเข้า (CIF) รวมกับภาษีอื่น ๆ ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าสูงเกินจริงและกระทบต่อการแข่งขันโดยตรง เช่น เหล้านำเข้าที่ปัจจุบันมีภาษีสูงถึง 400%

ประเด็นด้านความโปร่งใสในการประเมินราคาสินค้าหน้าด่านศุลกากรยังคงเป็นข้อกังวล รวมถึงปัญหาการละเมิดสิทธิบัตร กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และการจำกัดในภาคบริการ โดยเฉพาะในภาคการเงินและไปรษณีย์ ซึ่งล้วนเป็นข้อกีดกันที่สหรัฐฯ เคยหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ

ในด้านอุปสรรคทางเทคนิค สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในหมวดอาหาร ต้องเผชิญกับมาตรการ TBT จำนวนมาก เช่น การกำหนดมาตรฐานสุขอนามัยที่เข้มงวดเกินกว่ามาตรฐานโคเด็กซ์ (Codex) โดยไม่มีการเปิดเผยเกณฑ์หรือหลักเกณฑ์การพิจารณาอย่างชัดเจน เช่น การห้ามนำเข้าเครื่องในวัวและหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดง หรือการจำกัดการโฆษณาและควบคุมตลาดอาหารทารก ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐฯ มองว่าเป็นการกีดกันในลักษณะเทคนิค

นอกจากนี้ การห้ามนำเข้าเอทานอลราคาถูกจากสหรัฐฯ การออกใบอนุญาตนำเข้าอย่างจำกัด และการจัดสรรโควตาภาษี (tariff quota) สำหรับวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น กากถั่วเหลือง ก็เป็นอีกตัวอย่างของมาตรการที่ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคทางการค้าที่ไม่โปร่งใส ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของโครงสร้างภาษีและกฎระเบียบของไทย ซึ่งกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งปฏิรูป หากประเทศไทยต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันภายใต้ระเบียบการค้าโลกใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นภายใต้อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน

ผลกระทบ Trump’s Tariffs ต่อภาคเกษตรไทย ใครได้ใครเสีย?

รศ. ดร. นิพนธ์ กล่าวว่า ในการประเมินผลกระทบจากข้อตกลงการค้าฉบับล่าสุดระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกา ณ เวลานี้ยังถือว่าเป็นการประเมินเบื้องต้นในเชิงคุณภาพเท่านั้น เนื่องจากรายละเอียดเชิงลึกของข้อตกลงยังไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ จำเป็นต้องมีการศึกษาต่อเมื่อข้อมูลทั้งหมดชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น-ข้อมูลที่รัฐบาลเปิดเผยสามารถสะท้อนภาพรวมของผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมไทยได้พอสมควร

ในฝั่งของสินค้าส่งออก ข้าวหอมมะลิไทยยังคงเผชิญความยากลำบากในการแข่งขันกับเวียดนาม แม้จะไม่มีความแตกต่างด้านภาษีนำเข้าระหว่างสองประเทศ แต่เวียดนามมีราคาขายที่ต่ำกว่า ทำให้ไทยเสียเปรียบด้านราคา ปัจจุบันไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไปยังสหรัฐฯ ประมาณ 60,000 ตันต่อปี จึงจำเป็นต้องยกระดับประสิทธิภาพและลดต้นทุนเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด

สินค้าที่ได้รับผลกระทบชัดเจนยิ่งกว่าคือกุ้งและทูน่าของบริษัทไทยยูเนี่ยน เนื่องจากมีรายได้จากตลาดสหรัฐฯ สูงถึง 39% ตามรายงานข่าว แม้จะยังไม่มีการยืนยันข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่หากเป็นความจริง บริษัทจะต้องปรับกลยุทธ์อย่างจริงจังเพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดียว ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในภาวะที่นโยบายการค้าสหรัฐฯ ผันผวน

ด้านผลิตภัณฑ์ยางของไทยแม้จะมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ สูง แต่ยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันจากมาเลเซียและอินโดนีเซียซึ่งมีคุณภาพสินค้าใกล้เคียงกัน ภาษีนำเข้าระหว่างประเทศทั้งสามไม่ได้แตกต่างกันมากนัก จึงไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบทางภาษีเป็นเครื่องมือหลักในการแข่งขัน

ในส่วนของเนื้อหมู ข้อมูลยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่มีรายงานว่าข้อตกลงอาจเปิดให้มีการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ภายใต้โควตาประมาณ 10,000 ตัน โดยมีเงื่อนไขว่าเนื้อหมูต้องไม่มีสารเร่งเนื้อแดง หากมีการนำเข้าโดยไม่ควบคุมอย่างเข้มงวด อุตสาหกรรมหมูไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกรณีของเครื่องในหมูซึ่งเป็นสินค้าที่ชาวอเมริกันไม่บริโภค แต่มีราคาต่ำมาก หากปล่อยให้นำเข้าโดยเสรีจะทำให้ตลาดในประเทศเสียหายอย่างหนัก ทั้งนี้ ไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการใช้สารเร่งเนื้อแดงมาอย่างต่อเนื่อง และไม่น่าจะยอมให้มีการนำเข้าเนื้อหมูที่มีปัญหาดังกล่าว

ขณะที่ฝั่งการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ นั้น แม้จะยังไม่มีรายละเอียดเต็มรูปแบบ แต่มีแนวโน้มว่าสินค้าอย่างข้าวโพดและกากถั่วเหลืองจะได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศไทยในภาพรวม โดยข้าวโพดนำเข้าของไทยในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 3.5-4 ล้านตัน หากสามารถนำเข้าจากสหรัฐฯ ได้ในราคาถูก จะสามารถทดแทนการนำเข้าจากเมียนมาและลาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่กากถั่วเหลืองไทยนำเข้าปีละราว 3.5 ล้านตัน ส่วนใหญ่มาจากบราซิล แม้สินค้าสหรัฐฯ จะมีคุณภาพต่ำกว่า แต่เมื่อนำมาพิจารณาร่วมกับอัตราภาษีที่เป็นศูนย์ ก็ถือว่ามีความคุ้มค่าเชิงต้นทุน และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไทยได้รับอัตราภาษีตอบโต้เพียง 19% จากสหรัฐฯ ซึ่งต่ำกว่าเวียดนาม

การเปิดตลาดข้าวโพดและถั่วเหลืองครั้งนี้ยังถือเป็นกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ในการหาตลาดทดแทนจีน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้นำเข้าสำคัญ แต่ได้เปลี่ยนไปนำเข้าจากบราซิลแทน ส่งผลให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์การส่งออกใหม่ และประเทศไทยคือหนึ่งในเป้าหมายที่ตอบโจทย์ดังกล่าวได้อย่างลงตัว

ผลดีจากการลดภาษีดังกล่าวจะตกอยู่กับอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ของไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มผู้เลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่ หมู และวัว ที่จะได้ประโยชน์จากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลง อันเป็นผลจากราคาข้าวโพดและกากถั่วเหลืองที่ถูกลง ผู้บริโภคไทยจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาอาหารที่ลดลง ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ของไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศและตลาดส่งออก

ผู้บริโภคไทยยังจะได้ประโยชน์จากการนำเข้าผลไม้เมืองหนาวและถั่วจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสินค้าคุณภาพสูง โดยสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากจีนและออสเตรเลียได้อย่างใกล้เคียง สมาคมเกษตรกรผลไม้ไทย-สหรัฐฯ ประเมินว่า หากภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ ไทยอาจนำเข้าผลไม้จากสหรัฐฯ ได้มากถึงปีละ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ ในด้านของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในประเทศ จะได้รับผลกระทบจากราคาที่ตกต่ำลง ซึ่งจะกระทบทั้งเกษตรกรและผู้ค้าข้าวโพด โดยเฉพาะในพื้นที่สูงที่มีต้นทุนการผลิตสูงและไม่สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้ เกษตรกรจำนวนหนึ่งอาจต้องเปลี่ยนอาชีพในระยะยาว แม้มาตรการชดเชยในระยะสั้นอาจใช้เงินไม่มาก เนื่องจากส่วนต่างราคาระหว่างในประเทศกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่โจทย์ใหญ่ที่แท้จริงคือการหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรเหล่านี้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน

โอกาสเชิงยุทธศาสตร์ วัตถุดิบถูกลง ESG สูงขึ้น

ด้าน นายประสิทธิ์ ได้กล่าวถึงผลกระทบและโอกาสของภาคเกษตรอุตสาหกรรมไทยภายใต้บริบทของมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา โดยชี้ให้เห็นทั้งด้านที่ไทยอาจได้รับประโยชน์และความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

หนึ่งในโอกาสสำคัญที่เห็นได้ชัดคือการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้าวโพดและกากถั่วเหลือง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้าวโพดที่นำเข้าจากสหรัฐฯ จะมีราคาถูกกว่าข้าวโพดภายในประเทศและจากประเทศเพื่อนบ้านในช่วงนอกฤดูกาล เพียง 1-2 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเมื่อนำมาคูณกับปริมาณการใช้ 3 ล้านตัน จะช่วยประหยัดต้นทุนในอุตสาหกรรมถึงประมาณ 6,000 ล้านบาท

ยิ่งไปกว่านั้น ข้าวโพดจากสหรัฐฯ ไม่มีปัญหาการเผาป่าเหมือนกับแหล่งผลิตจากบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อเครดิตด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย การนำเข้าจากแหล่งที่ไม่มีการเผาป่า จะช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของทั้งระบบห่วงโซ่การผลิต นำไปสู่การเพิ่มคะแนนเครดิตด้านสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมไทยทันที

สำหรับระบบโควต้านำเข้า ทางรัฐบาลยังคงกำหนดให้มีระบบ “สามต่อหนึ่ง” กล่าวคือ ผู้นำเข้าต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 หน่วย ก่อนจะนำเข้าข้าวโพดต่างประเทศ 1 หน่วย ซึ่งเป็นกลไกที่ใช้ควบคุมเพื่อให้การสนับสนุนเกษตรกรไทยยังคงมีอยู่

ในส่วนของกากถั่วเหลือง ประเทศไทยเดิมนำเข้าจากบราซิลเป็นหลัก โดยมีภาษีนำเข้า 2% และมีคุณภาพค่าโปรตีนสูงกว่าเล็กน้อย แต่ในการเจรจาล่าสุด ภาครัฐได้ยกเลิกภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาใช้แหล่งใหม่นี้ แม้ในเชิงต้นทุนค่าโปรตีนอาจเท่าเดิม แต่ประเทศไทยได้รับประโยชน์ในภาพรวมจากการกระจายแหล่งนำเข้า และสร้างแต้มต่อด้านสิ่งแวดล้อม

ผลิตภัณฑ์อีกตัวที่กำลังอยู่ในวาระการเจรจาคือ DDGS หรือกากข้าวโพด ซึ่งปัจจุบันเสียภาษีนำเข้า 9% หากสามารถลดเหลือศูนย์ได้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และการส่งออกของไทย

โดยรวมแล้ว การนำเข้าวัตถุดิบ 3 รายการหลัก ข้าวโพด กากถั่วเหลือง และ DDGS คิดเป็นมูลค่ารวมกันถึงประมาณ 85,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่พอจะมีผลต่อทั้งต้นทุนของผู้ผลิตอาหารสัตว์และความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ไทย

อย่างไรก็ดี นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ทุกมิติของนโยบายภาษีนี้จะเป็นผลดีต่อไทยทั้งหมด โดยเฉพาะในกรณีของการอนุญาตให้นำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนในเรื่องปริมาณที่อนุญาตและเงื่อนไขด้านสุขอนามัย

สิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมกังวลมากคือการปนเปื้อนของสารเร่งเนื้อแดง (ractopamine) ซึ่งสหรัฐฯ อนุญาตให้ใช้ในระดับตามมาตรฐานโคเด็กซ์ (Codex) แต่ประเทศไทยสั่งห้ามใช้สารนี้โดยเด็ดขาดมากว่า 30 ปี เนื่องจากกังวลว่าหากมีการอนุญาตให้นำเข้าหมูที่มีสารดังกล่าว ก็อาจนำไปสู่ความพยายามของผู้ผลิตในประเทศในการเรียกร้องสิทธิ์ใช้สารเร่งเนื้อแดงภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ส่งผลให้ระบบการควบคุมอาจล่มสลาย เพราะ 95% ของหมูไทยผลิตโดยเกษตรกรรายย่อย ซึ่งควบคุมมาตรฐานได้ยากกว่าระบบฟาร์มขนาดใหญ่

ความกังวลอีกด้านคือเรื่อง “หมูเถื่อน” ที่เคยมีบทเรียนในอดีตเมื่อมีการลักลอบนำเข้าหมูอย่างผิดกฎหมาย โดยอ้างเป็นสินค้าอื่น เช่น ปลา ก่อนแปรสภาพกลับเป็นหมูในประเทศ ซึ่งในกรณีนี้ หากมีการเปิดโควต้านำเข้าอย่างเป็นทางการ อุตสาหกรรมกังวลว่าอาจมีการใช้ช่องโหว่ในการลักลอบนำเข้าจำนวนมากเกินกว่าที่ตกลงไว้จริง

แนวนโยบายรับมือ Trump’s Tariffs โอกาสในการลงทุน พัฒนา และปฏิรูปเชิงโครงสร้าง

รศ. ดร. นิพนธ์ มองว่า การเผชิญหน้ากับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ไม่ควรถูกมองเพียงแค่ในแง่ของการตอบโต้หรือเจรจาภาษีแบบเดิมเท่านั้น แต่ควรถูกใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างรอบด้าน

หนึ่งในข้อเสนอเชิงนโยบายที่น่าสนใจคือการใช้โอกาสนี้ลงทุนในทุนมนุษย์เพื่อสร้างความร่วมมือเชิงบวกกับสหรัฐฯ ศาสตราจารย์ Richard Yarrow จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเสนอว่า รัฐบาลไทยควรประกาศเจตนารมณ์ใหม่ในการจัดส่งข้าราชการและนักศึกษาไปศึกษาต่อยังสหรัฐฯ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการ “ให้ดุลกลับ” ผ่านการลงทุนด้านการศึกษา ซึ่งจะก่อให้เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระยะยาว

ข้อมูลเชิงสถิติสะท้อนว่า จำนวนข้าราชการไทยที่ได้รับทุนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ ลดลงถึง 43% ระหว่างปี 2014 ถึง 2024 และทุนระดับปริญญาตรีที่รัฐบาลไทยมอบให้ลดลงจาก 50 ทุน เหลือเพียง 30-35 ทุน สัญญาณนี้แสดงถึงการชะลอตัวในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ ซึ่งเป็นหัวใจของการวางนโยบายเชิงระบบ การเพิ่มทุนมนุษย์ในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ให้แน่นแฟ้นขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมกำลังคนที่มีศักยภาพสูงในการรับมือกับเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

อีกด้านหนึ่งของการปรับตัวคือการทบทวนกฎหมายและกฎระเบียบที่ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ กฎหมายสำคัญอย่างพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว ยังคงมีข้อจำกัดที่ทำให้ไทยไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น อุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ขั้นสูง หรือเทคโนโลยีชีวภาพได้อย่างเต็มที่

ในขณะเดียวกัน สถานะของไทยที่ยังไม่ถูกจัดอยู่ในรายชื่อประเทศเสี่ยงด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการเสนอไทยเป็นฐานการผลิตทางเลือกที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ตัวอย่างล่าสุดคือบริษัทเผิงเจิ้งจากไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์รายใหญ่ของโลก ได้ย้ายฐานการผลิตมาไทยพร้อมทั้งนำระบบซัพพลายเชนและการจ้างงานเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยโดยตรง ความสำเร็จลักษณะนี้สามารถต่อยอดได้ หากไทยจัดสรรพื้นที่อุตสาหกรรมและพัฒนาทุนมนุษย์ให้เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม การจะเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก จำเป็นต้องมี “กลไกใหม่” ที่สามารถเชื่อมโยงภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง ประสบการณ์ในอดีตแสดงให้เห็นว่า ระบบราชการไทยมักขับเคลื่อนด้วยวิธีการที่เน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ ในขณะที่รูปแบบความร่วมมืออย่างคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการเกษตร ที่เคยจัดตั้งในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ แสดงให้เห็นว่า หากใช้ระบบประเมินตามผลลัพธ์สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายได้จริง

สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือไทยต้องหลุดพ้นจากกับดักนโยบายที่เคยฉุดรั้งการตัดสินใจในอดีต กับดักแรกคือ "Veto Politics" หรือการเมืองที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถสกัดกั้นการตัดสินใจสำคัญ เช่น การที่ไทยไม่สามารถเข้าร่วมความตกลง CPTPP ได้เพราะถูกคัดค้านจากบางฝ่ายในสังคม กับดักที่สองคือการกระจายทรัพยากรแบบไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้ประเทศ “ทำทุกอย่าง” แต่ไม่สามารถสร้างจุดแข็งที่แท้จริงขึ้นมาได้ ต่างจากประเทศอย่างเกาหลีใต้หรือไต้หวัน ที่เลือกลงทุนเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไทยต้องตั้งท่าทีใหม่ที่ยึดหลักผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและความจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ มากกว่าความสัมพันธ์ในเชิงอารมณ์หรือประวัติศาสตร์เดิม คำกล่าวของเติ้ง เสี่ยวผิง ที่ว่า “ประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ ล้วนเติบโต” อาจใช้ได้ในอดีต แต่ในปัจจุบันต้องพิจารณาเพิ่มเติมว่า ความสัมพันธ์กับจีนส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร ผู้ประกอบการจีนหลายรายมีศักยภาพสูงและแข่งขันได้ดี แต่ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากกลับเข้าไม่ถึงโอกาสในตลาดที่ควรจะเปิด ไทยจึงจำเป็นต้องวิเคราะห์เชิงลึกว่าการวางตำแหน่งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ควรอยู่ตรงจุดใด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว

ในภาคเกษตร ซึ่งยังเป็นฐานสำคัญของแรงงานไทย การปฏิรูปจำเป็นต้องเริ่มจากการปรับโครงสร้างแรงงานอย่างเป็นระบบ สัดส่วนแรงงานภาคเกษตรของไทยยังอยู่ที่ 25-30% ของกำลังแรงงานรวม ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วอยู่ที่ราว 7-8% ซึ่งสะท้อนชัดว่าไทยต้องสร้างกลไกในการเคลื่อนย้ายแรงงานออกจากภาคเกษตรโดยไม่สร้างภาระทางสังคม วิธีที่เป็นไปได้คือการสร้างงานนอกภาคเกษตรในเขตชนบท เพื่อให้คนสามารถเปลี่ยนอาชีพได้โดยไม่ต้องย้ายเข้าสู่เมืองหรือพื้นที่ EEC ทั้งยังต้องควบคู่ไปกับการ reskill และ upskill แรงงานให้สามารถเข้าสู่อุตสาหกรรมและบริการยุคใหม่ได้ทันที

ทั้งหมดนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากยังคงใช้ระบบราชการแบบเดิมที่มีข้อจำกัดด้านความยืดหยุ่นและความรวดเร็ว ภาครัฐต้องเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชน ภาควิชาการ และประชาสังคม มีบทบาทในการออกแบบนโยบายมากขึ้น เพราะในขณะที่ระบบราชการอ่อนแรงลง กลุ่มเหล่านี้ยังคงมีศักยภาพสูง แต่ไม่ได้รับโอกาสใช้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังต้องปฏิรูประบบการแต่งตั้งข้าราชการที่ยึดติดกับการเอาใจผู้มีอำนาจทางการเมือง มากกว่าศักยภาพทางวิชาชีพ หากไม่สามารถแก้ไขข้อจำกัดเชิงโครงสร้างเหล่านี้ได้ ไทยจะพลาดโอกาสสำคัญในการพลิกวิกฤตจาก Trump’s Tariffs ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

แชร์
กูรูชี้ไทยรับสินค้าเกษตรสหรัฐฯดี2เด้ง ถูก-CO2ต่ำ แต่เนื้อหมูต้องคุม