หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ “Liberation Day” เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 พร้อมกับนโยบายการค้าระลอกใหม่ที่เข้มงวดและเร่งรัดมากขึ้น สหรัฐฯ ได้เร่งเดินหน้าเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้าหลักทั่วโลกอย่างจริงจัง ท่ามกลางเป้าหมายชัดเจนในการลดการขาดดุลการค้าและจำกัดอิทธิพลของจีนในห่วงโซ่อุปทานโลก
ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนาม ซึ่งประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 ได้กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่ไทยไม่อาจมองข้าม เพราะเงื่อนไขในข้อตกลงฉบับนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเข้มงวดของสหรัฐฯ แต่ยังเป็นสัญญาณว่า ประเทศใดที่ไม่พร้อมปรับตัวอาจต้องเผชิญภาษีที่สูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา เวียดนามพิสูจน์ให้เห็นว่า การบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องของการต่อรองอย่างแข็งกร้าวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพร้อม "เลือกเสียสละ" อย่างมีกลยุทธ์ เวียดนามยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามาโดยไม่มีภาษี พร้อมทั้งยินยอมรับข้อเรียกร้องที่เข้มงวดของสหรัฐฯ ทั้งในเรื่องการลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน และการเปิดให้สหรัฐฯ มีสิทธิเข้าควบคุมบางส่วนของกระบวนการตรวจสอบสินค้าอย่างใกล้ชิด
สิ่งที่ทำให้เวียดนามเดินเกมนี้ได้สำเร็จ ไม่ใช่แค่เพราะยอมถอย แต่เป็นเพราะเวียดนามมีโครงสร้างที่ "เอื้อ" ต่อการตัดสินใจรวดเร็วและการเจรจาที่มีประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน เวียดนามมี ขนาดการค้ากับสหรัฐฯ ใหญ่กว่าไทยเกือบเท่าตัว โดยเวียดนามส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 137,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยส่งออกเพียง 66,010 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามมีอำนาจต่อรองสูงกว่า และเมื่อพิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์ เวียดนามคือพันธมิตรสำคัญที่สหรัฐฯ เลือกใช้ในการถ่วงดุลจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ เวียดนามยังได้เปรียบจากความสัมพันธ์เชิงธุรกิจในระดับผู้นำ ตัวอย่างที่สำคัญคือ การลงทุนของ Trump Organization ในโครงการรีสอร์ทหรู มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ใกล้กรุงฮานอย ซึ่งไม่ใช่แค่โครงการอสังหาริมทรัพย์ธรรมดา แต่กลายเป็น "เครื่องมือเชื่อมสัมพันธ์" เชิงลึกที่เสริมบทบาทเวียดนามในสายตาสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม แม้เวียดนามจะสามารถดำเนินการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็ว แต่ไทยกลับเผชิญโจทย์ที่ท้าทายและซับซ้อนกว่าอย่างชัดเจน หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีนในระดับสูง โดยเฉพาะในภาคการผลิตและระบบโลจิสติกส์ ซึ่งอาจกลายเป็นช่องทางที่จีนใช้ในการส่งสินค้าผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี (Transshipment)
ในกระบวนการเจรจา สหรัฐฯ กำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดกับไทย โดยเสนอให้ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% เช่นเดียวกับที่เวียดนามยอมรับ พร้อมกับเรียกร้องให้ไทยลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทาน และเร่งแก้ไขปัญหาการไหลผ่านของสินค้าจีนผ่านไทย ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญสูงสุดในขณะนี้
ขณะเดียวกัน ไทยยังเผชิญกับภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย (32%) และมาเลเซีย (24%) แม้จะยังต่ำกว่าเวียดนาม (46%) และกัมพูชา (49%) แต่ภาระภาษีดังกล่าวกำลังกดดันความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้ายานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และผลิตภัณฑ์เกษตร
ไทยยังเสียเปรียบในเชิงอำนาจต่อรอง เนื่องจากมูลค่าการค้ากับสหรัฐฯ มีขนาดเล็กกว่าเวียดนามอย่างมีนัยสำคัญ ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 66,010 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เวียดนามส่งออกมากกว่าเท่าตัวที่ 137,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ไทยมีแรงกดดันและอำนาจต่อรองที่จำกัดกว่าคู่แข่ง
สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้น เมื่อหลายประเทศที่เป็นพันธมิตรการค้าของสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันในลักษณะเดียวกัน และหลายประเทศได้ "ถอย" ภายใต้ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ เช่น
ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ ไทยต้องเดินเกมอย่างระมัดระวัง บนเส้นทางที่ทั้งเปราะบางและเต็มไปด้วยความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อทางเลือกที่ผิดอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ข้อมูลจาก InnovestX ชี้ให้เห็นว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 จะผูกพันอย่างแนบแน่นกับผลลัพธ์ของการเจรจานี้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ฉากทัศน์ที่มีนัยสำคัญต่อ GDP ไทย ได้แก่
ฉากทัศน์ดีที่สุด: หากไทยสามารถเจรจาอัตราภาษีเหลือ 10% ใกล้เคียงกับกรณีของสหภาพยุโรป ไทยจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของ GDP ที่ 1.7% ในปี 2025 ได้ แม้โอกาสจะเกิดขึ้นเพียง 10% แต่ถือเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลไทยควรพยายามอย่างยิ่ง
ฉากทัศน์พื้นฐาน: หากการเจรจาสำเร็จเพียงบางส่วน ไทยต้องเผชิญภาษีในช่วง 15-20% ซึ่งจะทำให้ GDP ขยายตัวได้เพียง 1.1-1.4% ความเป็นไปได้ในกรณีนี้สูงถึง 60% และถือเป็นผลลัพธ์ที่ประเทศไทยต้องเตรียมตัวรับมือ
ฉากทัศน์เลวร้าย: หากการเจรจาล้มเหลว ไทยอาจเผชิญภาษี 25-37% ซึ่งจะส่งผลให้ GDP อาจหดตัวได้ถึง -1.1% หรือเติบโตเพียง 0.5% พร้อมผลกระทบต่อภาคการส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวเกิน 10% ในครึ่งปีหลัง ความเป็นไปได้ในกรณีนี้อยู่ที่ 30% และมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อพิจารณาจากท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ที่มีต่อเวียดนาม
หากไทยต้องยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับเวียดนาม โครงสร้างเศรษฐกิจในหลายอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ บางภาคส่วนจะเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ขณะที่บางภาคส่วนจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงและการเข้าถึงเทคโนโลยีในราคาที่แข่งขันได้
1. ภาคเกษตรกรรม: กลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด
หากไทยต้องยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ภาคเกษตรกรรมจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากไทยในปัจจุบันเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในระดับสูง
ผลกระทบเชิงโครงสร้าง: การเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ อาจทำให้เกษตรกรไทยบางส่วนต้องเปลี่ยนอาชีพหรือยุติการผลิต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในภาคเกษตรถึง 200,000-300,000 ตำแหน่ง
5. ภาคอาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม: ความท้าทายของผู้ผลิตไทย
นอกจากภาคเกษตรกรรมแล้ว การยกเลิกภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จะเพิ่มแรงกดดันในตลาดอาหารและเครื่องดื่ม
2. ภาคยานยนต์และชิ้นส่วน: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่
ภาคยานยนต์ไทยจะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างรุนแรง หากต้องยกเลิกภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจากสหรัฐฯ
โอกาสใหม่: ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย โดยเฉพาะ Tier 2 และ Tier 3 อาจได้รับโอกาสใหม่ในการเป็นซัพพลายเออร์ให้กับแบรนด์อเมริกันที่เข้ามาลงทุน
3. ภาคเครื่องจักรและอุปกรณ์: โอกาสในการยกระดับเทคโนโลยี
ภาคเครื่องจักรไทยจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการยกเลิกภาษีนำเข้าเครื่องจักรจากสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 10-30%
4. ภาคพลังงานและปิโตรเคมี: ลดต้นทุน เสริมความมั่นคง
การยกเลิกภาษีนำเข้าพลังงานและวัตถุดิบปิโตรเคมีจากสหรัฐฯ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
จากแนวโน้มผลกระทบเหล่านี้ การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ จึงถือเป็น "จุดเปลี่ยน" สำคัญของเศรษฐกิจไทย สิ่งที่ไทยจะต้องเผชิญไม่ใช่แค่การเปิดตลาดหรือการเสียเปรียบเชิงภาษี แต่เป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ว่าจะบริหารสมดุลระหว่างการปกป้องภาคส่วนที่เปราะบางกับการสร้างโอกาสใหม่อย่างไร โดยรัฐบาลไทยจำเป็นต้องเตรียมกลยุทธ์ที่รอบด้าน ทั้งการวางแผนเจรจาเชิงรุก มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และการลงทุนเพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศ
หากเดินเกมพลาด ไทยอาจต้องเผชิญภาษีที่สูงขึ้นและแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ฉุดรั้งการเติบโตในปี 2025 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากเดินเกมถูก การเปิดตลาดครั้งนี้อาจกลายเป็น "ใบเบิกทาง" สู่การยกระดับเศรษฐกิจไทยในเวทีโลกอย่างแท้จริง