
สำนักข่าวยอนฮัพของทางการเกาหลีใต้รายงานวันนี้ (29 ตุลาคม 68) ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เปิดเผยหลังเดินทางเยือนเกาหลีใต้ว่า ข้อตกลงการค้ากับเกาหลีใต้กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายและจะสรุปออกมาในเร็ว ๆ นี้
ทรัมป์ประกาศเรื่องดังกล่าวต่อหน้าที่ประชุม CEO Summit ณ ศูนย์ศิลปะคยองจู เมืองคยองจู ก่อนหน้าการประชุมสุดยอดผู้นำเขตเศรษฐกิจพิเศษเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC จะเปิดฉากขึ้นในวันศุกร์นี้ และทรัมป์ยังมีกำหนดการเข้าพบปะหารือกับนายอี แจมยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้อีกด้วย
กรอบข้อตกลงระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ได้รับการเห็นชอบในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้เกาหลีใต้ลงทุนมูลค่า 360,000 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ลดอัตราภาษีตอบโต้จาก 25 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ข้อตกลงดังกล่าวยังไม่ได้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
เกาหลีใต้กำลังกลายเป็นประเทศที่ทั่วโลกต้องจับตามอง เนื่องจากเหล่าผู้นำโลกกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ นอกเหนือจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แล้ว ยังมีประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนที่กำลังจะเดินทางมา และเกาหลีใต้ยังจะกลายเป็นที่พบปะหารือระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิงด้วย
นอกเหนือจากนั้น หลายฝ่ายยังจับตามองเกาหลีเหนือว่าจะมีปฏิกิริยาเช่นไร เพราะทรัมป์เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า เขาอยากจะพบคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนืออีกสักครั้ง แต่ดูจากความเคลื่อนไหวล่าสุดของเกาหลีเหนือที่ยิงขีปนาวุธจากพื้นสู่ทะเล ตกในทะเลเหลืองเมื่อวานนี้ (28 ตุลาคม 68) ก็อาจจะตีความได้ว่า การพบกันระหว่างทรัมป์และคิม จองอึนอาจจะเป็นเรื่องยาก
บริเวณหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ใจกลางกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เหล่าผู้ประท้วงต่อต้านทรัมป์ต่างถือป้ายและตะโกนคำว่า “ไม่เอาทรัมป์” ขณะที่รถบัสของตำรวจจอดเรียงเป็นแนวป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ประท้วงเข้าใกล้ประตูสถานทูต แต่เวทีและเครื่องขยายเสียงทำให้เสียงของเหล่าผู้ประท้วงดังก้องไปทั่วจัตุรัสควังฮวามุน จนถึงหูตัวแทนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
แม้การชุมนุมนี้จะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับการประท้วงในอดีตของเกาหลีใต้ แต่ก็ไม่ใช่เพียงกลุ่มเดียวที่ออกมา ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตร บริเวณหน้าพระราชวังคยองบกกุง มีกลุ่มผู้ชุมนุมอีกฝ่ายหนึ่งที่ชูป้ายข้อความ “ไม่เอาจีน” เพื่อประณามรัฐบาลจีน
จำนวนผู้เข้าร่วมทั้งสองฝั่งอาจไม่มากนัก แต่ภาพของผู้คนที่ออกมาแสดงจุดยืนในใจกลางกรุงโซล สะท้อนถึงความท้าทายทางการทูตที่ประธานาธิบดีอี แจมยอง ต้องเผชิญ ในขณะที่เขากำลังเตรียมต้อนรับผู้นำของทั้งสหรัฐฯ และจีน ในสัปดาห์เดียวกันนี้
เกาหลีใต้ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่สงครามเกาหลีซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี 1950–1953 เมื่อกองทัพอเมริกันเข้ามาช่วยต่อต้านการรุกรานจากเกาหลีเหนือ ปัจจุบันเกาหลีใต้ยังคงพึ่งพาการป้องกันจากรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ก็ไม่อาจละทิ้งจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดและตลาดส่งออกสำคัญของประเทศ
ดาร์ซี เดราดท์-เวยาเรส นักวิจัยจากสถาบัน Carnegie Endowment for International Peace อธิบายว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดมาก เกาหลีใต้ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อต้องเลือกระหว่างมหาอำนาจสองขั้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเกาหลีใต้ก็สะท้อนภาพของหลายประเทศทั่วโลกที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับทั้งจีนและสหรัฐฯ อย่างแนบแน่น และตอนนี้ ประธานาธิบดีอี แจมยอง ก็กำลังพยายามเดินเกมระหว่างสองขั้วอำนาจนี้อย่างระมัดระวัง
เกาหลีใต้เตรียมเป็นเจ้าภาพการประชุมระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง ในวันพฤหัสบดี ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยุติสงครามการค้าระหว่างสองประเทศที่ยืดเยื้อมานาน
ตามกำหนดการสี จิ้นผิงจะเดินทางถึงเกาหลีใต้ในวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคมนี้ หลังเข้าพบปะหารือกับทรัมป์ ผู้นำจีนก็จะใช้เวลาอยู่ที่เมืองคยองจูเป็นเวลาสามวันเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC แต่สีจะอยู่ที่เกาหลีใต้นานกว่าทรัมป์ ซึ่งถือเป็นโอกาสทางการทูตครั้งใหญ่ที่สีจะต้องนำเสนอภาพลักษณ์ออกมาว่า ตนเองเป็นทั้งคู่ค้าและเป็นมหาอำนาจโลกที่มีความมั่นคงกว่า
แต่สิ่งที่ทรัมป์ต้องการคือการเข้าหารือกับคิม จองอึน เพื่อสร้างภาพประวัติศาสตร์อีกครั้ง หลังในการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรก ทรัมป์คือประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ได้นั่งหารือตัวต่อตัวกับผู้นำจากเกาหลีเหนือ
คำถามคือ ครั้งนี้การประชุมจะเกิดขึ้นได้อีกหรือไม่? แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงท่าทีต้องการเปิดการเจรจา แต่รัฐบาลเกาหลีเหนือยังไม่ตอบรับใด ยกเว้นการยิงขีปนาวุธลงสู่ทะเลเหลืองเมื่อวานนี้เท่านั้น ซึ่งท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ก็ลดความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะได้เจอคิม จองอึนอีกครั้ง