Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
กูรูเตือนจีนอย่าทุ่มตลาด! เสี่ยงเสียมิตรทั่วโลก จนแพ้สหรัฐฯในศึกการค้า
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

กูรูเตือนจีนอย่าทุ่มตลาด! เสี่ยงเสียมิตรทั่วโลก จนแพ้สหรัฐฯในศึกการค้า

28 พ.ค. 68
11:00 น.
แชร์

ท่ามกลางสงครามการค้าที่กำลังดุเดือด นักเศรษฐศาสตร์ออกโรงเตือนว่า หากจีนยังคงดำเนินกลยุทธ์การทุ่มตลาดด้วยสินค้าราคาถูกในหลายประเทศทั่วโลก อาจยิ่งทำลายความพยายามในการฟื้นฟูความไว้วางใจจากประเทศคู่ค้า และเสี่ยงต่อการถูกโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นในช่วงที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ

แม้การพักชำระภาษีชั่วคราวระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะช่วยผ่อนคลายสถานการณ์บางส่วน แต่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลการเจรจา และความกังวลต่อการปะทุของสงครามการค้าในอนาคต ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังประเทศในอาเซียนและสหภาพยุโรป หลายฝ่ายหวั่นว่าจีนอาจใช้วิธีระบายสินค้าราคาถูกเข้าสู่ตลาดของตนในปริมาณมาก

ไลฟ์ เอสเคเซน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก CLSA กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงโตเกียวว่า “หากจีนต้องการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างยั่งยืนในระยะยาว ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้วิธีการที่อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นตั้งแต่ต้น เช่น การทุ่มตลาดในประเทศต่าง ๆ”

เขาชี้ว่าการจำหน่ายสินค้าต่ำกว่าราคาทุนอาจดูเป็นทางออกในระยะสั้น แต่ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของจีนในระยะกลาง พร้อมระบุว่ารัฐบาลจีนมีแนวโน้มจะหันมากระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น โดยใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือหลักในการพยุงเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาการส่งออก

ส่งออกจีนพุ่งทำสถิติ ขณะอุปสงค์ในประเทศชะลอตัว 

ในปี 2024 การส่งออกของจีนแตะระดับ 3.58 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน และดุลการค้าก็ขยับขึ้นทำสถิติใหม่ที่ 9.92 แสนล้านดอลลาร์ ตามรายงานจากกรมศุลกากรจีน โดยอาเซียนยังคงเป็นจุดหมายสำคัญอันดับหนึ่งของการส่งออกจีน คิดเป็นสัดส่วนถึง 16% ของยอดรวม โดยประกอบด้วยทั้งสินค้าขั้นกลางและขั้นสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของภาคส่งออกกลับสวนทางกับอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อนแรง และพฤติกรรมการทุ่มตลาดของจีน หรือการขายสินค้าในต่างประเทศในราคาต่ำกว่าราคาภายในประเทศ จึงได้กลายเป็นประเด็นขัดแย้งระดับโลก โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายประเทศได้ตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด ขณะที่จีนก็ตอบโต้กลับด้วยการเก็บภาษีต่อสินค้าจากสหรัฐ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และไต้หวัน

องค์การการค้าโลก (WTO) ได้เข้ามามีบทบาทในข้อพิพาทเหล่านี้หลายครั้ง ล่าสุดในปี 2023 WTO ตัดสินให้ญี่ปุ่นชนะในกรณีภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดเหล็กกล้าไร้สนิม และสั่งให้จีนปฏิบัติตามข้อกำหนดของ WTO อย่างเคร่งครัด

เชทัน อาห์ยา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์เอเชียจาก Morgan Stanley ให้ความเห็นว่า แม้เศรษฐกิจโลกโดยรวมจะเผชิญภาวะชะลอตัว แต่จีนอาจกลับไปใช้กลยุทธ์เดียวกับช่วงสงครามการค้าในปี 2018 ด้วยการเบนเข็มสู่ตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศที่ต้องการสินค้าสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ซึ่งจีนมีความได้เปรียบเชิงโครงสร้างในการผลิต

“จีนกำลังกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เหล่านี้ และในอีก 5-6 ปีข้างหน้า สินค้ากลุ่มนี้น่าจะถูกส่งออกไปยังตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก” เขากล่าว

FDI จีนในอาเซียนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่อาจทดแทนความเชื่อมั่นทางการค้าได้

รายงานการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของอาเซียนระบุว่า การลงทุนจากจีนในภูมิภาคเพิ่มขึ้นถึง 20% จากปีก่อน โดยมีมูลค่าสูงถึง 17,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 สะท้อนบทบาทของจีนในฐานะนักลงทุนหลักในภูมิภาคที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม อิซาเบล มาเตออส อี ลาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก BNP Paribas เตือนว่า การอัดฉีดเงินลงทุนอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับประเทศคู่ค้าอีกต่อไป โดยเฉพาะในบริบทที่ความเชื่อมั่นด้านการค้าเริ่มสั่นคลอน

เธอมองว่าจีนอาจไม่สามารถใช้การลงทุนเพื่อสร้างหลักประกันด้านความเชื่อมั่นในแบบที่เคยทำได้อีกแล้ว พร้อมชี้ว่า สหรัฐฯ กำลังกดดันพันธมิตรให้มีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้นต่อจีน และจับตาใกล้ชิดว่าจีนอาจพยายามใช้ประเทศในอาเซียนเป็นช่องทางเบี่ยงภาษีศุลกากรจากสหรัฐ

เธอเน้นย้ำว่า หากจีนต้องการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระยะยาวกับประเทศในภูมิภาค จำเป็นต้องเปิดตลาดภายในของตนให้มากขึ้น เพื่อรับสินค้าจากต่างประเทศอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้นในระดับโลก

เศรษฐกิจจีนยังเปราะบาง เสี่ยงเผชิญภาวะเงินฝืด แม้รัฐออกมาตรการกระตุ้น

แม้รัฐบาลจีนจะเริ่มทยอยประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งส่งเสริมการบริโภคภายในตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 แต่ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ยังไม่ชัดเจน โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ประเมินว่า จีนอาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ตั้งไว้ที่ 5% ได้ภายในปีนี้

เชทัน อาห์ยา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์เอเชียจาก Morgan Stanley ชี้ให้เห็นว่า ความเสี่ยงที่น่ากังวลที่สุดขณะนี้คือภาวะเงินฝืด ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น หากจีนยังเผชิญแรงกดดันจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มสูงในหลายประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังไม่ฟื้นตัวอย่างมั่นคง เนื่องจากค่าแรงยังอยู่ในระดับต่ำ และระบบประกันสังคมยังไม่สามารถรองรับความเสี่ยงของประชาชนได้เพียงพอ

ในด้านนโยบายการเงิน จีนมีพื้นที่จำกัดในการผ่อนคลายเพิ่มเติม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยได้ปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำแล้ว โดยล่าสุด ธนาคารกลางจีนได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (Loan Prime Rate) เหลือ 3.0% สำหรับระยะ 1 ปี และ 3.5% สำหรับระยะ 5 ปี เพื่อกระตุ้นการกู้ยืมและการลงทุน

อาห์ยาคาดการณ์ว่า รัฐบาลจีนจะใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวเพิ่มเติมในปีนี้ โดยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ารวมประมาณ 3 ล้านล้านหยวน หรือราว 416,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม เขาเน้นว่า มาตรการดังกล่าวจะเป็นการ “ตั้งรับมากกว่ารุก” เพราะภาครัฐยังต้องรับมือกับภาระหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งจำกัดความยืดหยุ่นของนโยบายการคลังในระยะยาว


แชร์
กูรูเตือนจีนอย่าทุ่มตลาด! เสี่ยงเสียมิตรทั่วโลก จนแพ้สหรัฐฯในศึกการค้า