ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศน่าจะทำให้เราทุกคนสัมผัสได้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นฝนที่ตกหนักขึ้น ความเสี่ยงของการเจอน้ำท่วมบ่อยครั้ง หรือในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเราก็กำลังจะเจอกับฝุ่นPm 2.5 และพอเข้าหน้าร้อนอากาศก็จะร้อนขึ้นทุกปี
และไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใด ร่ำรวยหรือยากจนแค่ไหนทุกคนบนโลกล้วนต้องเผชิญกับ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกันทุกคนและในบางครั้งสถานการณ์ก็หนักหนาสาหัสจนกลายเป็นภัยพิบัติ ที่สร้างความเสียหาย ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม
บทความนี้ SPOTLIGHT สรุปมุมมองเรื่อง From Climate change to Disaster จากวิกฤตภูมิอากาศสู่ภัยพิบัติ บนเวที Talk Stage จากงาน SX2025 โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ คุณปวิช เกศวงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม, ศาสตราจารย์ ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล Director, Climate Economy Agenda, ดร.กรรณิการ์ เฉิน รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และ คุณกรุณา บัวคำศรี ผู้สื่อข่าวและผู้ผลิตสารคดีด้านสิ่งแวดล้อม
เหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ต้องยอมรับว่ามนุษย์มีส่วนทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นด้วย ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วม พายุถล่ม ความแห้งแล้ง คลื่นความร้อน ไฟป่า
เหตุการณ์สำคัญล่าสุด
เหตุการณ์ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่
คุณปวิช เกศวงศ์ เปิดเผยสถิติที่น่าตกใจว่า ประเทศไทย ตั้งอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ดีมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ประเทศไทยติดอันดับ 9 ประเทศเปราะบาง เสี่ยงได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว เช่น อุณหภูมิสูง ภัยแล้ง หรือน้ำท่วมหนัก
‘แต่ก่อนเราคงได้ยินกันว่า เราต้องควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเชียล แต่ตอนนี้ 1.75 เกือบ 2 องศาเซลเชียลแล้ว ระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้นตลอด นั่นแปลว่า คนที่จังหวัดสมุทรปราการจะอยู่ไม่ได้ ส่วนกรุงเทพฯไม่ต้องพูดถึง เพราะน้ำท่วมแน่นอน ตอนนี้เราคงไม่ตั้งคำถามว่าท่วมหรือไม่ แต่ต้องเปลี่ยนเป็นเราจะเตรียมรับมืออย่างไร และเราจะรอดอย่างไรมากกว่า’
ส่วนคุณกรุณา บัวคำศรี แสดงความกังวลใจที่ระบบนิเวศขนาดใหญ่ อย่าง ป่าอะเมซอน ธารน้ำแข็งอาร์กติก ที่พยุงสุขภาพโลกไว้อาจจะพังลงสู่จุดพลิกผัน (tipping point) ในระดับที่โลกทั้งระบบจะเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจหวนคืน
ศาสตราจารย์ ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล ได้ชูประเด็นถึง Climate Literacy หรือ ความรู้ความเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ว่าเราทุกคนควรต้องมีความเข้าใจ ตระหนักรู้ถึงปัญหา
“ประชาชนทุกคนกว่า 8 พันล้านคนทั่วโลก ควรมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง หรือเรียกง่ายๆว่า Climate Literacy เช่นตอนนี้คำว่าภัยพิบัติของแต่ละคนยังตีความไม่เหมือนกัน เพราะถ้าคนไม่รู้ ก็จะงงเวลาเกิดอะไรขึ้น โทษลมโทษฟ้าไปเรื่อย จนสุดท้ายเอาตัวไม่รอด”
โดยยกตัวอย่างว่า คนกรุงเทพฯ – สมุทรปรากร ต้องรู้ 3 เรื่อง 1.ข้อมูลระบบน้ำทะเล / อุณหภูมิเฉลี่ยพื้นที่ที่อาศัย 2.สถานที่ที่เราอยู่มีการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์เท่าไร 3.อดีตที่ผ่านมาจุดไหนเคยเกิดภัยพิบัติ ได้รับผลกระทบ และเรายังใช้ชีวิตเหมือนเดิมไหม
ดร.กรรณิการ์ เฉิน ได้แชร์มุมมองว่า ปัญหาโลกร้อน โลกรวน หลายๆคนมองว่า เป็นเพียงการเกิดลมแรง อากาศแปรปวน น้ำท่วม มีพายุ แต่แท้จริงแล้วเรื่องนี้ส่งผลต่อความมั่งคงทางอาหาร เช่น บางพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคเหนือ ฝนตกลดลง บางพื้นที่ฝนตกมากเกิน และแทนที่เราจะทำการเกษตรและได้ผลผลิตเหมือนเดิม แต่ปริมาณผลผลิตกลับลดลง
หรือแม้แต่ปัญหาผึ้ง ที่ตอนนี้เหลือน้อยเต็มทีบางคนอาจเป็นเรื่องเล็กแต่จริงๆแล้วผึ้งมีความสำคัญอย่างมากต่อระบบธรรมชาติ หรือแม้แต่ยุงที่อดีตเคยเป็นสัตว์ที่อยู่ในเขตร้อน แต่ตอนนี้บางพื้นที่ที่ไม่เคยมียุงก็กลับได้เห็น เพราะสัตว์ที่อยู่บนเทือกเขาก็เริ่มโดนยุ่งกัด และพอสัตว์ป่วยก็ทำให้เกิดโรคระบาด
นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ทั้ง 4 ท่านมาร่วมพูดคุยกันในงาน SX2025 ถึงปัญหาทางด้านสภาพภูมิอากาศที่อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่ทุกคนคิด ชีวิตของเรา โลกของเราจะเป็นอย่างไรก็ต่อไป..จะว่าไปเราทุกคนคือตัวแปรสำคัญ