Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ย้อนรอยภัยธรรมชาติ 2025 ภัยมาถี่และหนักกว่าเคย เพราะมี “โลกรวน” เร่ง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ย้อนรอยภัยธรรมชาติ 2025 ภัยมาถี่และหนักกว่าเคย เพราะมี “โลกรวน” เร่ง

27 ธ.ค. 68
14:19 น.
แชร์

แทบทุกเดือนตลอดปี 2568 เราได้ยินข่าวความเสียหายจากภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ต่อเนื่องแทบไม่เว้นพัก อย่างประเทศไทย ภัยพิบัติใหญ่ 2 ครั้งคือแผ่นดินไหวเดือนมีนาคม และมหาอุทกภัยเดือนพฤศจิกายน ที่เข้ามาเปิดโปรงความเปราะบางของระบบการเตือนภัยและรับมือของไทย และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก หลักฐานหนึ่งที่ชี้ถึงความหนักหนาสาหัสของภัยพิบัติปีนี้ได้ดี คือมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น

2025 ภัยพิบัติซัดหนัก ความเสียหายทำลายสถิติ

รายงานจากสถาบันประกันภัยระดับโลกอย่าง Munich Re เผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ภัยธรรมชาติสร้างความเสียหายมูลค่าสูงถึง 131,000 - 143,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมาที่ 106,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกว่า 88% คือภัยพิบัติจากสภาพอากาศ (พายุ, น้ำท่วม, ไฟป่า)

ส่วนข้อมูลจากบริษัทประกันภัย Swiss Re ซึ่งรับประกันให้แก่บริษัทประกันภัยอีกทอดหนึ่ง ระบุว่า ปี 2025 เป็นปีที่ 6 ติดต่อกันแล้วที่ความเสียหายจากการประกันภัยทั่วโลกทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Spotlight รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นภัยธรรมชาติ 10 ครั้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก

รวม 10 ภัยพิบัติทั่วโลก 2025

  1. ไฟป่าในลอสแองเจอลิส

เดือนมกราคม 2568 เกิดเหตุไฟป่าขนาดใหญ่ที่รัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ไฟ่าป่ามีสาเหตุมาจากหน้าร้อนที่รุนแรงและยาวนานขึ้น สภาพอากาศมีความแห้งจัดและมีลมแรงทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว มีผู้เสียชีวิตกว่า 30 คนจากไฟป่าครั้งนี้ และมีการประเมินมูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่าง 1.64 แสนล้าน ถึง 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมทั้งการสูญเสียชีวิต, ความเสียหายต่อทรัพย์สิน, การสูญเสียรายได้ในการเลี้ยงชีพ และการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น

  1. แผ่นดินไหวในทิเบต

ช่วงวันที่ 7-8 มกราคม 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.1 แมกนิจูด บริเวณเขตปกครองตนเองทิเบตใกล้พรมแดนเนปาล ส่งผลให้บ้านเรือนกว่า 3,000 หลังพังทลาย และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 126 คน ท่ามกลางอุปสรรคจากสภาพอากาศที่หนาวจัดในพื้นที่สูง

  1. แผ่นดินไหวที่เมียนมาสะเทือนถึงประเทศไทย

28 มีนาคม 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.7-8.2 ศูนย์กลางที่มัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา จากการขยับตัวของการขยับตัวของกลุ่มรอยเลื่อนสะกาย ทำให้มีผู้เสียชีวิตในเมียนมากว่า 3,600 คน และส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงประเทศไทย สัมผัสได้ใน 63 จังหวัด มีผู้เสียชีวิต 95 คน จากเหตุอาคารสตง. ถล่ม และจุดอื่น ๆ รวมกัน

  1. พายุทอร์นาโดระลอกใหญ่ในสหรัฐฯ

ระหว่างวันที่ 13-16 มีนาคม 2568 เกิดทอร์นาโดมากกว่า 100 ลูกพัดถล่มพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของสหรัฐฯ รวมถึงทอร์นาโดระดับ EF4 และ EF5 ที่ทำลายล้างเมืองทั้งเมืองจนราบเป็นหน้ากลอง มีผู้เสียชีวิต 43 คน และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับโลกร้อน เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นในอ่าวเม็กซิโกช่วยส่งผ่านความชื้นและพลังงานมหาศาลขึ้นไปปะทะกับมวลอากาศเย็น ทำให้เกิดพายุหมุนที่รุนแรงและเกิดบ่อยขึ้นผิดปกติ

  1. คลื่นความร้อนในยุโรป

ปี 2025 ระหว่างเดือนเมษายน-กันยายน มีคลื่นความร้อนหลายลูกแวะมาเยี่ยมเยียนยุโรป ทำให้หลายพื้นที่ทำลายสถิติอุณหภูมิสูงที่สุด มีอุณหภูมิถึง 45 องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน ช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดคือ ช่วงกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญประมาณการณ์การเสียชีวิตด้วยสาเหตุเกี่ยวข้องกับคลื่นความร้อนได้หลายร้อยคนจากแค่สหราชอาณาจักรเพียงประเทศเดียว

สาเหตุของคลื่นความร้อนเป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาดการณ์ว่าทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 15,000 คน ทำให้เกิดไฟป่าหลายแห่งในยุโรป สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ ชีวิตคน ทรัพย์สิน และคุณภาพอากาศ

  1.  อุทกภัยฉับพลันในรัฐเท็กซัส

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เกิดน้ำท่วมฉับพลันบริเวณแม่น้ำกัวดาลูเป รัฐเท็กซัส โดยระดับน้ำพุ่งสูงขึ้นถึง 26 ฟุต ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ส่งผลให้ผู้ที่กำลังพักผ่อนในค่ายพักแรมและบ้านเรือนริมน้ำถูกน้ำพัดพาไป มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 135 คน

ปรากฏการณ์ฝนตกหนักเฉพาะที่แบบสุดขั้วนี้เกิดจากฝนตกหนักแบบกระโชกแรง (Flash Flood) ซึ่งเป็นลักษณะของฝนตกหนักเฉพาะที่ซึ่งรุนแรงขึ้นจากโลกร้อน เนื่องจากชั้นบรรยากาศที่ร้อนขึ้นสามารถกักเก็บไอน้ำได้มากขึ้น เมื่อเกิดฝนตกจึงมีความรุนแรงและปริมาณน้ำมหาศาลในระยะเวลาอันสั้น

  1.  น้ำท่วมใหญ่ในปากีสถาน

ช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน 2568 ปากีสถานเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่อีกครั้งจากฝนมรสุมที่ตกหนักต่อเนื่องยาวนาน ทำให้พื้นที่เกษตรกรรมจมอยู่ใต้น้ำเป็นบริเวณกว้าง มีรายงานผู้เสียชีวิตรวมมากกว่า 1,000 คน และประชากรหลายล้านคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น

ภัยพิบัตินี้มีสาเหตุมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นไม่เพียงแต่เพิ่มปริมาณน้ำฝน แต่ยังเร่งการละลายของธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งไหลลงมาสมทบจนแม่น้ำสายหลักเอ่อล้นตลิ่ง

  1. พายุไต้ฝุ่น "คัลแมกี"

ปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2568 พายุไต้ฝุ่นคัลแมกีพัดถล่มฟิลิปปินส์และเวียดนามด้วยกำลังลมมหาศาลและฝนตกหนัก ส่งผลให้เกิดดินโคลนถล่มและน้ำท่วมสูง มีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 288 คน และระบบไฟฟ้าล่มสลายในหลายพื้นที่

พายุลูกนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เพราะอุณหภูมิมหาสมุทรที่อุ่นขึ้นช่วยให้พายุทวีกำลังแรงขึ้นได้อย่างรวดเร็วก่อนขึ้นฝั่ง และทำให้พายุอุ้มน้ำได้มากขึ้นกว่าในอดีต

  1. ไซโคลนคู่ “ดิตวาห์” และ “เซนยาร์”

ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นธันวาคม อิทธิพลของไซโคลนสองลูกทำให้เกิดผลกระทบในอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และศรีลังกา ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,800-2,200 คน มีผู้พลัดถิ่นและได้รับผลกระทบอีกจำนวนมาก และสร้างความเสียหายแก่พื้นที่เกษตรกรรมและบ้านเรือน

สาเหตุของไซโคลน 2 ลูกนี้เกิดจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงผิดปกติในมหาสมุทรอินเดีย อันมีสาเหตุมาจากวิกฤตสภาพอากาศ

  1. มหาอุทกภัยภาคใต้

พฤศจิกายน 2568 10 จังหวัดภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เผชิญน้ำท่วมครั้งใหญ่ อันมีสาเหตุมาจากฝนที่ตกหนักที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ  ( วัดปริมาณน้ำฝนได้ 330 มม. ในวันเดียวที่หาดใหญ่) จากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือรุนแรง ร่วมกับหย่อมความกดอากาศต่ำ

โดยทั่วไปภาคใต้มักไม่มีเหตุน้ำท่วมขัง น้ำท่วมมักเกิดขึ้นเพียงไม่นาน อาจน้อยกว่า 1 วันและไหลลงทะเลไป เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ภาคใต้ แม่น้ำสายสั้น ดังนั้นจึงไม่มีแผนการเตรียมการรับมือน้ำท่วมขัง 

เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตถึง 162 คน บ้านเรือน 1.4 ล้านหลังได้รับผลกระทบ

วิกฤตสภาพอากาศกับความถี่-ความรุนแรงภัยพิบัติ

ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปีนี้ ยังมีเหตุการณ์อื่นอีก อาทิ พายุไต้ฝุ่นเมลิสซา ที่พัดถล่มแคริบเบียนเดือนตุลาคม 2568 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 79 คน กระทบคนกว่า 6 ล้าน หรือฟิลิปปินส์ที่เจอพายุซ้ำซาก ทั้งมรสุมตะวันตกเฉันงใต้ พายุไต้ฝุ่นบัวลอย และอื่น ๆ

เมื่อเราพิจารณาภัยพิบัติหลาย ๆ ครั้งที่เกิดขึ้นจะเห็นว่ามีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) อยู่ เว้นแต่เหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา

World Weather Attribution เปิดเผยข้อมูลหลายชุดเชื่อมโยงสาเหตุของภัยพิบัติกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ ไฟป่าใหญ่ในสเปนและโปรตุเกสที่เกิดขึ้นปีนี้ (ไฟไหม้พื้นที่ 2.37 ล้านไร่ในสเปนและ 1.62 ล้านไร่ในโปรตุเกส) เกิดขึ้นในช่วงที่ภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยคลื่นความร้อน ซึ่งทำให้พืชพรรณแห้งตัวอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี 

WWA วืเคราะห์ว่า ภายใต้อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น 1.3°C ในปัจจุบัน สภาวะอากาศสุดขั้วที่ทำให้เกิดไฟป่าเช่นนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้น ทุกๆ 15 ปี แต่หากโลกไม่ร้อนมากไปกว่านี้ (เย็นกว่านี้ 1.3°C) เหตุการณ์ไฟป่านี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยกว่า 1 ครั้งในรอบ 500 ปี นั่นหมายความว่า ภาวะโลกร้อนทำให้โอกาสเกิดไฟป่าแบบนี้ เพิ่มขึ้นถึง 40 เท่า และเพิ่มความรุนแรงของสภาพอากาศที่เอื้อต่อไฟป่าขึ้นอีก 30%

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ความเสียหายจากไซโคลน “ดิตวาห์” และ “เซนยาร์” ในศรีลังกา และสุมาตรา WWA ประเมินบทบาทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อฝนตกหนักว่า ปริมาณฝนที่ตกหนักสุดขั้วที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลก (GMST) ประเมินได้ที่ประมาณ 9% ถึง 50% 

ส่วนในศรีลังกา แนวโน้มดังกล่าวยิ่งรุนแรงกว่า โดยเหตุการณ์ฝนตกหนัก 5 วัน เช่นที่เกี่ยวข้องกับพายุไซโคลนดิตวาห์ ในปัจจุบัน มีความรุนแรงมากขึ้นประมาณ 28% ถึง 160% เนื่องจากการร้อนขึ้นของโลกจนถึงปัจจุบัน

คณะวิจัยศึกษาแนวโน้มเหตุการณ์ฝนตกหนัก 5 วันติดในศรีลังกาและช่องแคบมะละกา พบว่า เหตุการณ์แบบนี้แต่เดิมเคยมีความถี่เกิดขึ้น 1 ครั้งใน 70 ปี ขณะนี้ กลับมีแนวโน้มเกิดขึ้น 1 ครั้งทุก 30 ปีหรือบ่อยกว่า เพราะชั้นบรรยากาศที่ร้อนขึ้นสามารถกักเก็บความชื้นได้มากกว่าเดิม 

นอกจากนี้ หากไม่มีภาวะโลกร้อน (อุณหภูมิไม่เพิ่มขึ้น 1.3°C) น้ำทะเลจะเย็นกว่านี้ประมาณ 1 องศาเซลเซียส ซึ่งจะช่วยลดพลังงานพายุและการระเหยของน้ำที่เป็นต้นเหตุของฝนหนักได้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่าง “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอุณหภูมิโลก” กับ “ความถี่-ความหนักของภัยธรรมชาติ” 

นอกจากนี้ ผลกระทบยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น อย่างการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว การกระจุกตัวหนาแน่นของประชากรและทรัพย์สินในที่ราบลุ่มแม่น้ำและดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นในหรือใกล้กับแนวพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง ทำให้ทั้ง 2 พื้นที่มีความเปราะบางต่อน้ำท่วมมากยิ่งขึ้น


แชร์
ย้อนรอยภัยธรรมชาติ 2025 ภัยมาถี่และหนักกว่าเคย เพราะมี “โลกรวน” เร่ง