Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
พลิกเกมเศรษฐกิจ-สังคมไทย รับมือสู้! ภายใต้ "พ.ร.บ. ลดโลกร้อน"
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

พลิกเกมเศรษฐกิจ-สังคมไทย รับมือสู้! ภายใต้ "พ.ร.บ. ลดโลกร้อน"

30 ก.ย. 68
08:54 น.
แชร์

“พ.ร.บ. ลดโลกร้อน” อาจไม่ใช้คำใหม่ที่คนไทยเพิ่งจะเคยได้ยิน เมื่อฟังดูผิวเผินอาจนึกถึงกฎหมายที่ออกมาเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและทำให้สิ่งแวดล้อมโลกถูกทำลายช้าลง แต่ในมุมของภาคธุรกิจ นักลงทุน ตลอดจนผู้ประกอบการ อาจกังวลว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้ จะกลายมาเป็นแรงกดดันที่ทำให้ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ รวมถึงผลกระทบด้านบทลงโทษ หากกิจการใด ๆ ไม่สามารถทำตามมาตรฐานนี้ได้ 

ในเวทีเสวนาหัวข้อ “พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: เครื่องมือเปลี่ยนเกมทางเศรษฐกิจและสังคม” จัดขึ้นในวาระการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 4 ที่งาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 (SX2025) มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน น่าจะทำให้หลายภาคส่วนคลายความกังวลใจลงได้บ้าง 

นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

“ตัวพ.ร.บ. ไม่ได้ถูกกำหนดเพื่อเป็นเครื่องมือที่เป็นอุปสรรค แต่เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนสามารถขับเคลื่อนไปด้วยกัน และเกิดผลกระทบในเชิงบวก” นี่คือสิ่งที่นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต้องการเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนเข้าใจและ ‘สบายใจ’ เนื่องจากร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นการบังคับเชิงผสมผสานกับการสนับสนุนส่งเสริม แต่ไม่มีบทลงโทษทางอาญา และมุ่งให้เกิดความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคประชาสังคมและรัฐบาล

รองอธิบดีฯ ยังเน้นย้ำว่า พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว เป็นความพยายามในการทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ เป็นการทำตามคำมั่นสัญญาที่ประเทศไทยเคยให้ไว้ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อให้สอดคล้องกับสังคมโลกที่หลายประเทศเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ  

เสวนา “พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: เครื่องมือเปลี่ยนเกมทางเศรษฐกิจและสังคม”

พ.ร.บ. ลดโลกร้อนคืออะไร? มาตราไหนต้องรู้?

พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (หรือ พ.ร.บ. ลดโลกร้อน) คือกฎหมายที่ประเทศไทยกำลังร่างขึ้นเพื่อเป็นกรอบนโยบายและกลไกในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาฎีกา และคาดว่า จะมีผลบังคับใช้ภายใน พ.ศ. 2569 โดยมีเป้าหมายหลักคือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero และ ส่งเสริมการปรับตัว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบจากภาวะโลกรวน 

ในงานเสวนา นายปวิชยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในแต่ละมาตรา ดังนี้ 

  • หมวดที่ 1: รับรองสิทธิของประชาชน และกำหนดการมีส่วนร่วมของแต่ละภาคส่วน
  • หมวดที่ 2:  เป้าหมายการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
  • หมวดที่ 3: คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
  • หมวดที่ 4: กองทุนภูมิอากาศ
  • หมวดที่ 5: แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
  • หมวดที่ 6: ข้อมูลก๊าซเรือนกระจก
  • หมวดที่ 7: แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกประเทศ (NDN Action Plan on Mitigation)
  • หมวดที่ 8: ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • หมวดที่ 9: กลไกการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน
  • หมวดที่ 10: ภาษีคาร์บอน
  • หมวดที่ 11: คาร์บอนเครดิต
  • หมวดที่ 12: การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • หมวดที่ 13: มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
  • หมวดที่ 14: บทกำหนดโทษ 

สำหรับหมวดที่น่าจับตา เริ่มต้นจากหมวดที่ 4  ซึ่งเป็นกลไกทางการเงินภายใต้พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มาช่วยในส่วนการ “ส่งเสริมและสนับสนุน” เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าภาคเอกชน หรือภาครัฐ สามารถขอรับเพื่อใช้ในการปรับตัว เช่น ธุรกิจขนาดย่อมที่ไม่มีงบประมาณในการปรับแนวทางดำเนินธุรกิจ หรือองค์กรภาครัฐ-เอกชน สถานศึกษา หรือชุมชน สามารถขอไปใช้ในการพัฒนาบุคลากรได้เช่นกัน

หมวดที่ 8 ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme - ETS) คือระบบที่รัฐกำหนดโควตาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับแต่ละอุตสาหกรรม หากปล่อยเกินโควตา ธุรกิจจะต้องซื้อสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากองค์กรอื่นที่ปล่อยได้ต่ำกว่าโควตา และหากปล่อยได้ต่ำกว่าโควตา ก็สามารถขายสิทธิที่เหลือเพื่อสร้างรายได้

หมวดที่ 10 ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) คือเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่เก็บภาษีจากผู้ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง เช่น น้ำมัน ถ่านหิน และพลาสติก เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดและลดมลพิษ โดยกำหนดอัตราภาษีต่อหน่วยการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไปหันมาใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น

องค์กรใหญ่ตั้งเป้าหมายแล้ว

แม้ พ.ร.บ. ฉบับนี้จะยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ แต่องค์กรใหญ่หลายแห่งเริ่มเดินหน้าปรับตัว และตั้งเป้าหมายอย่างมุ่งมั่นแล้ว รองอธิบดีฯ ปวิช ได้ยกตัวอย่างถึงควาพยายามของภาคธุรกิจที่ผ่านมา ที่พยายามดำเนินกิจการของตนให้ปล่อยคาร์บอนน้อยลง เช่น ThaiBev ที่ตั้งเป้าลด GHG ทั้งหมดให้ถึง Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งจะร่วมมือกับหุ้นส่วนและคู่ค้า เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ใช้รถยนต์ EV รถบรรทุก และรถโฟล์คลิฟต์ไฟฟ้าในคลังสินค้า และโคมแบบประหยัดพลังงาน

หรืออีกตัวอย่างคือ MITR PHON GROUP ที่ตั้งเป้าเป็น Carbon-neutral ภายในปี 2030 และไปถึงเป้า Net Zero ในปี 2050 ในเชิงปฏิบัติการ มีการใช้วัสดุเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต เช่น กากอ้อย ใบอ้อย มาผลิตพลังงานชีวมวล หรือการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ผลิตเอทานอลจากมูลมอลโทสให้เป็นเชื้อเพลงทางเลือก

3 เสาหลักไทย รับมือย่างไรกับ พ.ร.บ. ลดโลกร้อน

  • เสาหลักภาคอุตสาหกรรม กับ CBAM

รองอธิบดีฯ ปวิชยกตัวอย่างทิศทางนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของนานาชาติ อาทิ สหภาพยุโรปมีกลไก EU ETS ระบบ cap-and-trade จำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้ซื้อขายใบอนุญาตการปล่อย และกลไก CBAM ทำให้สินค้าที่นำเข้าภูมิภาคต้องจ่าย “ราคาคาร์บอน” ใกล้เคียงผู้ผลิตใน EU

CBAM คือ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป (EU) เป็นการเก็บค่าปรับจากสินค้านำเข้าบางประเภทที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงในกระบวนการผลิต เพื่อป้องกันปัญหา "การรั่วไหลของคาร์บอน" (Carbon Leakage) จากการที่บริษัทใน EU ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมหละหลวมกว่า และเพื่อส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม โดยเริ่มบังคับใช้กับสินค้า 6 ประเภท ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน 

นายวันชัย จงจิตรนันท์ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

นายวันชัย จงจิตรนันท์ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับประเทศไทย สินค้าที่ส่งไปยังสหภาพยุโรปเป็นหลักคือ อลูมิเนียมและเหล็ก โดยปีที่แล้ว ไทยส่งออกอลูมิเนียมมูลค่าการตลาดโดยรวมประมาณ 80,000 ล้านบาทในปี 2567 ในจำนวนนี้ แบ่งสัดส่วนส่งออกไปเฉพาะสหภาพยุโรปที่ 2% หรือประมาณ 1,600 ล้านบาท นับว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงมากนัก แต่เป็นกลุ่มสินค้าที่อาจโดนเรียกเก็บเป็นอันดับแรก และประเทศอื่น ๆ นอกจากสหภาพยุโรปอาจตั้งมาตรการ CBAM ตามมาอีกในอนาคต อุตสาหกรรมเหล็กและอลูมิเนียมไทยจึงต้องคอยตั้งรับ 

นายวันชัยยังเปิดเผยว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว กลุ่มอุตสาหกรรมไทยรู้จักคำว่า CBAM ครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งถือว่ายังใหม่มากและไม่รู้ว่าไทยอยู่จุดไหน สภาอุตสาหกรรมจึงเริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และพบว่ากระบวนการที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดคือการถลุง จากอลูมินามาเป็นอลูมิเนียม แต่ไทยไม่มีประบวนการต้นน้ำตรงนี้ จึงถือว่าตัดความเสี่ยงออกไปได้มาก

นายวันชัย จงจิตรนันท์ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

สำหรับการทำงานของสภาอุตสาหกรรมและโรงงานทั่วประเทศในการเร่งรับมือ มีอยู่ 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนแรกคือการสร้างฐานข้อมูลของผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม เพื่อสำรวจตนเองและเป็นต้นแบบให้กับโรงงานผลิตอลูมิเนียมและเหล็กทั่วประเทศ ขั้นตอนที่สอง ไทยต้องพยายามกำหนดเป้าหมายควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ แม้ว่าไทยจะยังอยู่ไกลจาก Net Zero ก็ตาม คุณวันชัยแนะนำว่า สำหรับภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนนเครื่องมือและอุปกรณ์ให้เป็นคาร์บอนต่ำและไฟฟ้าต้องเป็นพลังงานสะอาดขึ้น

แต่หากไม่สามารถควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมาย จะต้องแก้ปัญหาในขั้นตอนสุดท้ายคือ การใช้เครื่องมือในการเป็นตัวช่วย โดยเฉพาะ Carbon Capture ที่จะดักจับคาร์บอนซึ่งเป็นเครื่องที่มีราคาสูงและอยู่ปลายทางแล้ว ซึ่งในทุกขั้นตอนจะต้องมีภาครัฐเข้ามาช่วย

  • เสาหลักภาคการเงินและการลงทุนสีเขียว

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มองว่า แม้ว่าผู้ประกอบการรายใหญ่จะเริ่มปรับตัวสู่องค์กรที่ผลิตคาร์บอนต่ำโดยอิงจากหลักเกณฑ์ของต่างประเทศไปแล้ว อีกทั้งยังมีนวัตกรรมที่ช่วงสร้างการเปลี่ยนผ่านขององค์กร แต่พ.ร.บ. ลดโลกร้อนฉบับนี้ เป็นประโยชน์ในการสร้างมาตรฐานเดียวกันให้กับภาคธุรกิจ สร้างจุดเริ่มต้นและบรรทัดฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หรือรายย่อย 

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

นอกจากนี้ นางสาวขัตติยายังตอบคำถามที่ว่า ผู้ประกอบการควระทำอย่างไรจึงจะสามารถเข้าถึงเงินทุนสีเขียวจากธนาคารได้ คุณขัตติยาได้ยกตัวอย่างถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ อย่าง INDORAMA Ventures บริษัทปิโตรเคมีครบวงจรชั้นนำระดับโลกที่มีฐานอยู่ในประเทศไทย โดยเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งธนาคารได้กำหนดเป้าหมายเป็น KPI เพื่อเป็นเงื่อนไขในการเข้าถึงสินเชื่อสีเขียว

เป้าหมายแรกคือผู้ประกอบการจะต้องการลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ให้ลดลงอย่างน้อย 10% ภายในปี 2568 และเป้าหมายที่สอง คือสร้างกระบวนการรีไซเคิลภาชนะพลาสติก PET ให้ได้อย่างน้อย 750,000 ตัน ภายในปี 2568 หากทำได้สำเร็จ จะทำให้องค์เข้าถึง Sustainability-Linked Loan (SLL) หรือที่ภาษาไทยอาจเรียกโดยย่อว่า สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนมูลค่า 3,000 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดและประเภทของผู้ประกอบการ แม้แต่ในรายบุคคลที่ต้องการกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านรูปแบบสีเขียว ธนาคารกสิกรไทยมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้การติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปบนบ้านได้ โดยมีทั้งสินเชื่อสำหรับบ้าน เช่น สินเชื่อบ้านช่วยได้, สินเชื่อบ้านกู้เพิ่มได้, สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

นางสาวขัตติยา เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ก็เข้าใจว่าผู้ถือหุ้นและผู้ประกอบการมีความใส่ใจสำคัญเรื่องการปันผลเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ขณะที่ประเด็นเรื่องกรอบแนวคิดในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ESG ก็เป็นเรื่องรองที่นักลงทุนสนใจน้อยกว่า แต่ธนาคารกสิกรไทยยังต้องการยืนหยัดสวนกระแส เพิ่มกองทุนสำหรับการลงทุนด้านความยั่งยืนเพิ่มเป็น 400,000 - 500,000 ล้านบาทเพราะบทบาทสำคัญของธนาคารคือมีหน้าที่ผลักดันลูกค้า พร้อมรับมือกับการแข่งขันในระดับโลก ซึ่ง CBAM จะมาเป็นเครื่องกีดกันทางการค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • เสาหลักภาคสื่อมวลชน: สื่อสารอย่างไร ให้คนไม่เลื่อนผ่าน

อย่างไรก็ตาม หากสังคมยังขาดความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงก็คงเป็นไปได้ยาก นายกิตติ สิงหาปัด ผู้ประกาศข่าว รายการข่าว 3 มิติ แนะนำการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและ พ.ร.บ. ลดโลกร้อนว่าทำอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพ ในหัวข้อ “กฎหมายโลกร้อนในสายตาประชาชน: จะเล่าอย่างไรไม่ให้ถูกเคลื่อนผ่าน”

นายกิตติกล่าวว่า ประชาชนทั่วโลกมีความสนใจประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและการตระหนักรู้เรื่องภาวะโลกร้อนแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว โดยยกตัวอย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่ตัดสินใจพาสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ขณะที่เด็กหญิงเกรตา ธันเบิร์กส์ กลับให้ความสนใจและเป็นผู้นำกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน จึงทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารในด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม

นายกิตติ สิงหาปัด ผู้ประกาศข่าว รายการข่าว 3 มิติ

เช่นเดียวกับในประเทศไทย อุปสรรคสำคัญในการสร้างความเข้าใจ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ คือ คนไทยยังมีความสนใจต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงน้อย ส่วนหนึ่งเพราะภาษากฎหมายและศัพท์วิชาการที่มีความซับซ้อน ทำให้คนจำนวนหนึ่งเข้าถึงไม่ได้ การนำเสอของสื่อจึงอาจปรับเปลี่ยนเป็นแนวทางที่เชื่อมต่อกับชีวิตคนมากขึ้น

ตัวอย่างที่ผู้ประกาศข่าวอาวุโสยกตัวอย่างคือ การนำเสนอข้าวไร่ลดโลกร้อน และชุมชนจัดการท่องเที่ยวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่จังหวัดชุมพร หรือแม้แต่เป้าหมายลดโลกร้อนของสโมสรลิเวอร์พูล ซึ่งสะท้อนการเลือกหยิบเนื้อหาที่คนสนใจอยู่แล้ว เพราะเป็นความชอบหรือชีวิตประจำวัน แล้วแทรกเนื้อหาด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไป 

นอกจากนี้ กิตติยังส่งข้อความถึงผู้บริโภคสื่อ และผู้ที่สนใจลงทุนกับสื่อว่าให้หันมาสนใจกับสื่อที่ทำอย่างมีสาระมากขึ้น เพื่อสร้างกำลังใจและวัฒนธรรมแวดวงสื่อให้เลือกนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพ ข่าวที่มีคุณภาพจะได้ถูกนำเสนออย่างกว้างขวางและสร้างสรรค์ต่อไป  และยังเน้นย้ำว่า แม้ไม่ใช่สื่อมวลชน ก็สามารถสื่อสารเรื่องโลกร้อนต่อได้

สุดท้ายนี้ คุณกิตติยังได้ฝากถึงสื่อมวลชนทุกคนและทุกสำนัก โดยระบุว่า “ต่อไปนี้ ก็เป็นโจทย์ของสื่อทุกคนที่ต้องอธิบายให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ และวิธีการที่ง่ายที่สุดในการต่อสู้เรื่องโลกร้อน และทำได้เลยคือการบอกต่อและสร้างความตระหนักรู้ในกลุ่มคนใกล้ตัว”

นายกิตติ สิงหาปัด ผู้ประกาศข่าว รายการข่าว 3 มิติ


แชร์
พลิกเกมเศรษฐกิจ-สังคมไทย รับมือสู้! ภายใต้ "พ.ร.บ. ลดโลกร้อน"