Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ไทยเบฟปี69 จ่อลงทุน9พันล้าน เน้นนอนแอลฯ เชื่อนโยบายรัฐกระตุ้นแรงซื้อ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ไทยเบฟปี69 จ่อลงทุน9พันล้าน เน้นนอนแอลฯ เชื่อนโยบายรัฐกระตุ้นแรงซื้อ

30 ก.ย. 68
19:17 น.
แชร์

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ” หรือ “กลุ่ม”) แถลงทิศทางการดำเนินธุรกิจ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างการเติบโตระยะยาว แม้สภาวะเศรษฐกิจยังคงมีความท้าทาย กลุ่มยังเดินหน้าพัฒนาองค์กรภายใต้โครงการทรานส์ฟอร์เมชัน ควบคู่ไปกับการดำเนินกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน โดยหนึ่งในก้าวสำคัญของปีที่ผ่านมา คือ การผนวกรวมธุรกิจและการดำเนินงานของบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม พร้อมประกาศแผนการดำเนินงานภายใต้ “PASSION 2030” เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและภูมิภาคยังคงเผชิญความท้าทายจากการเติบโตที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ ท่ามกลางภาวะดังกล่าว ไทยเบฟยังคงเสริมสร้างรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่งและเดินหน้าตามกลยุทธ์ PASSION 2030 อย่างจริงจัง เพื่อรักษาสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมสร้างความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการแข่งขัน

ยอดขายหดปัจจัยนอกกดดัน ปี 69 เร่งบริหารต้นทุน-มั่นใจนโยบายรัฐดันยอดขาย

ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ไทยเบฟรายงานผลประกอบการ มีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้การบริโภคจะชะลอตัวลง และถึงแม้จะมีการลงทุนในตราสินค้าและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ตราสินค้าต่าง ๆ แต่กลุ่มมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลงเพียงร้อยละ 4.0 จากปีก่อน เป็น 45,026 ล้านบาท 

หากแบ่งผลประกอบการเป็นรายธุรกิจ ธุรกิจสุรามีรายได้จากการขายงวด 9 เดือน ปี 2568 จำนวน 92,778 ล้านบาท  ซึ่งทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ปริมาณขายรวมลดลงร้อยละ 0.8 โดย EBITDA ลดลงเป็น 22,161 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าและสนับสนุนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ธุรกิจสุราในไตรมาสล่าสุดมีกำไรที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้านธุรกิจเบียร์ ในช่วง 9 เดือน ปี 2568 มีรายได้จากการขาย 96,497 ล้านบาท ซึ่งยังทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะตลาดที่ท้าทายในประเทศเวียดนาม แม้ว่าจะมีปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 ก็ตาม นอกจากนี้ยังมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้  ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA margin) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.5 เป็นร้อยละ 13.0 อันเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ลดลง และประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เป็น 12,573 ล้านบาท

ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายช่วง 9 เดือน ปี 2568 ลดลงร้อยละ 0.7 จากปีก่อน เป็น 49,326 ล้านบาท แม้ปริมาณขายรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 โดยการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคในทุกช่องทาง ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมที่ลดลง ส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA ลดลงร้อยละ 6.3 เป็น 8,718 ล้านบาท

ด้านธุรกิจอาหารมีรายได้จากการขายช่วง 9 เดือน ปี 2568 ลดลงร้อยละ 1.4 จากปีก่อน เป็น 16,563 ล้านบาท อันเป็นผลจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและความต้องการในตลาดโดยรวม นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่สูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA ลดลงเป็น 1,578 ล้านบาท

จากผลประกอบการดังกล่าว คุณฐาปน เปิดเผยว่า หากนับผลการดำเนินงานตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 จนถึงสิ้นกันยายน 2568 จะเห็นได้ว่ายอดขายและสินทรัพย์สะท้อนแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกอย่างชัดเจน ปัจจัยหลักมาจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งสร้างความปั่นป่วนต่อห่วงโซ่การค้าในเอเชียแปซิฟิกและอาเซียน การส่งออกที่เคยทำได้กลับเริ่มสะดุด เงินทุนหมุนเวียนตึงตัว และสินค้าเดิมที่เคยขายได้กลับชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด ภาพรวมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงปรับฐาน ไทยเบฟจึงต้องเร่งปรับตัว มุ่งเพิ่มรายได้จากโอกาสใหม่ๆ ขณะเดียวกันก็เข้มงวดด้านการบริหารค่าใช้จ่าย เพราะสุดท้ายหัวใจของการบริหารคือการรักษาสมดุลระหว่างการสร้างรายได้และการควบคุมต้นทุนเพื่อให้ธุรกิจยังคงสร้างผลกำไรได้

คุณฐาปน กล่าวต่อว่า ตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา ไทยเบฟเคยเผชิญสถานการณ์ที่หนักกว่านี้ เช่น ในช่วงโควิด-19 ที่กิจการหยุดชะงักและโรงงานต้องปิดนานนับเดือน แต่บริษัทยังสามารถรักษาการจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ แสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการเงินและความมุ่งมั่นที่จะดูแลผู้ถือหุ้นตามแนวคิด “Total Shareholder Return” ที่ยึดถือมาโดยตลอด แม้ในช่วงวิกฤต บริษัทก็ยังยืนหยัดสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนได้

สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 4 ของปี 2568 และตลอดปี 2569 คุณฐาปนมองว่าจะมีปัจจัยบวกหลายด้าน โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่ง แพ็กเกจฟื้นฟูเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในทุกระดับ คุณฐาปนยังชี้ว่าการเจรจาทวิภาคีด้านการค้าและการทูตที่เคยคลุมเครือ เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะบทบาทของไทยบนเวทีโลก เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในที่ประชุมสหประชาชาติที่ยืนยันบทบาท UN ในการสร้างสันติภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตประชากรโลก สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่าไทยกำลังแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ทั้งด้านการเมือง การทูต และเศรษฐกิจ ซึ่งจะเสริมสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนและสะท้อนเสถียรภาพของรัฐบาล

คุณฐาปนย้ำว่า ประเทศไทยในฐานะเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของอาเซียนมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ หากไทยสะดุดหรือพลาดพลั้ง ย่อมกระทบต่อเสถียรภาพของอาเซียนโดยรวม แต่ปัจจุบันไทยอยู่ในจุดที่มั่นคง และยังคงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีศักยภาพเติบโตได้จริง เมื่อเทียบกับประเทศใหญ่ๆ อย่างจีนที่เติบโตแต่เน้นภายในประเทศ หรือเวียดนามที่แม้โตเร็วแต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องกำลังซื้อและการส่งออก

ด้านคุณโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และดิจิทัล กล่าวเสริมว่า ปัจจัยภายนอกเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ สิ่งที่บริษัททำได้คือการเสริมความแข็งแกร่งจากภายใน โดยเน้นสองมิติหลักคือ Cost per Unit และ Cost to Serve ผ่านการสร้างประโยชน์จากขนาดการผลิต การเพิ่มปริมาณการผลิต และการนำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเข้ามายกระดับห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การผลิตจนถึงผู้บริโภค

คุณโฆษิตย้ำว่าศักยภาพฐานการผลิตของไทยเบฟในประเทศไทยไม่แพ้ใคร และปีที่ผ่านมาก็สามารถกดต้นทุนลงได้ชัดเจนจากการบริหาร Volume ขณะที่ด้าน Cost to Serve บริษัทลงทุนในระบบดิจิทัลเพื่อทำให้การจัดการ Value Chain มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดภาระต้นทุนการบริการ แต่ยังคงรักษาความสะดวกและความพึงพอใจให้ผู้บริโภค

นอกจากนี้คุณฐาปนยังกล่าวถึงความจำเป็นในการนำเทคโนโลยี เช่น Automation และ Robotics มาใช้ทดแทนแรงงานบางส่วน เพื่อตอบโจทย์ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น แต่ยืนยันว่าไทยเบฟยังให้ความสำคัญกับพนักงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุและประสบการณ์มาก ซึ่งถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าและเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จขององค์กร

โดยสรุป ผู้บริหารไทยเบฟเชื่อมั่นว่าปีบัญชี 2568/69 บริษัทจะยังคงรักษาความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตต่อเนื่องได้ แม้เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน กลยุทธ์หลักคือการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด การเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการอาศัยแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและสร้างบรรยากาศการลงทุนที่มั่นคง

จาก Vision 2020 สู่ Passion 2030 รากฐานและกลยุทธ์สู่การเติบโต

เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ก้าวถัดไป ไทยเบฟย้ำว่าเป้าหมายหลักยังคงเดิม คือการเป็น Stable and Sustainable ASEAN Leader หรือผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มในอาเซียนที่มั่นคงและยั่งยืน มุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในประเทศ พร้อมขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ และพัฒนาศักยภาพจากการผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ นอกจากนี้ กลุ่มยังแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน รวมถึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานและการกระจายสินค้า ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร ตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ภายใต้ PASSION 2030

ภายใต้กลยุทธ์ PASSION 2030 ไทยเบฟมุ่งขับเคลื่อนสองกลยุทธ์หลักที่ทำงานควบคู่กันคือ “Reach Competitively” และ “Digital for Growth”

ด้านแรกเน้นการพัฒนาโครงสร้างโลจิสติกส์ครบวงจร One Logistics จากการผนวกธุรกิจในเครือ ตั้งแต่โออิชิ เสริมสุข และ F&N Fraser and Neave ในสิงคโปร์และมาเลเซีย จนถึงการขยายสู่เวียดนามทั้งด้านการผลิตและการกระจายสินค้า เครือข่ายนี้ได้รับการเสริมด้วยระบบ CERTU ที่ร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon เพื่อจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ให้กลายเป็นฐานข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ การกระจายสินค้าของไทยเบฟยังมีเครือข่าย Cash Van ที่เข้าถึงร้านค้าโชห่วยทั่วประเทศ ควบคู่ไปกับช่องทางโมเดิร์นเทรดอย่างโลตัส บิ๊กซี และเซเว่นอีเลฟเว่น จุดแข็งอีกประการคือการใช้ Area Management ซึ่งทำให้บริษัทเข้าใจศักยภาพและข้อจำกัดของแต่ละพื้นที่ และสามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับตลาดท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม

ด้านกลยุทธ์ “Digital for Growth” มีเป้าหมายยกระดับขีดความสามารถผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล บริษัทนำ Flow มาใช้ติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้าและทำความเข้าใจผู้บริโภคเชิงลึกไปจนถึงลูกค้าของลูกค้า เพื่อระบุสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาการขาย เช่น กรณีที่ความต้องการยังมีอยู่ แต่การซื้อขายสะดุดจากข้อจำกัดด้านสภาพคล่องของตัวแทน ระบบ Flow ทำให้บริษัทแก้ปัญหาได้ตรงจุดและรักษาความต้องการของตลาดไว้ นอกจากนี้ยังมีการใช้ Sales Intelligence และ Merchandising App เพื่อสนับสนุนการทำงานของฝ่ายขายและการจัดการหน้าร้าน เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า คู่ค้า และผู้บริโภคยุคใหม่ที่คาดหวังการบริการที่ทันสมัย

ด้านบุคลากรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียถือเป็นอีกหัวใจสำคัญ ไทยเบฟมองว่าพนักงานไม่ใช่เพียงแรงงาน แต่เป็น Stakeholder ที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กร การลงทุนด้านดิจิทัลจึงไม่เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเชิงโครงสร้าง แต่ยังช่วยให้พนักงานทำงานได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น และมีความทันสมัยมากขึ้น สอดรับกับความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการระบบการทำงานที่ไม่ซับซ้อน หากองค์กรไม่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการนี้ ประสิทธิภาพการแข่งขันก็จะลดลง

นอกจากนี้ กลยุทธ์ดิจิทัลยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนผ่านบางธุรกิจจาก B2B ไปสู่ B2C เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและขยายการเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง แม้ว่าจะมีข้อจำกัดและความพร้อมต่างกันในแต่ละธุรกิจ แต่ทิศทางนี้ถือเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อให้สอดรับกับตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น ทั้ง “Reach Competitively” และ “Digital for Growth” จึงไม่ใช่กลยุทธ์ที่แยกขาด แต่เป็นกลไกที่ต้องทำงานประสานกันเหมือนมือซ้ายและมือขวา ระบบโลจิสติกส์และโครงสร้างดิจิทัลจะต้องเสริมพลังกัน เพื่อผลักดันให้ไทยเบฟเติบโตได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน และตอบสนองต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ตั้งแต่ลูกค้า คู่ค้า พนักงาน ไปจนถึงพันธมิตรธุรกิจในระดับภูมิภาค

ไทยเบฟเร่งเครื่องลงทุนอาเซียน รักษารากท้องถิ่น ดันแบรนด์สู่เวทีสากล

ในด้านธุรกิจและการลงทุนของไทยเบฟ คุณโสภณ ราชรักษา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจสุรา รวมถึงกลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทเดินหน้าการลงทุนเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ โดยครอบคลุมการสร้างฟาร์มโคนมในมาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจนมและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และการขยายการลงทุนในกัมพูชาเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มในภูมิภาค 

สำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนกันยายน มูลค่าการลงทุน (Capital Expenditure) รวมอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท และในปี 2569 คาดว่าจะอยู่ราว 9,000 ล้านบาท โครงสร้างการลงทุนแบ่งเป็นธุรกิจเบียร์ 2000 ล้านบาท ธุรกิจสุรา 2,000 ล้านบาท ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 4,000 ล้านบาท และธุรกิจอาหาร 1,000 ล้านบาท โดยที่สัดส่วนของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังคงสูงจากการลงทุนต่อเนื่องในฟาร์มโคนม ซึ่งยังอยู่ในช่วงการดำเนินงานและการลงทุน

คุณฐาปน กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันแผนการลงทุนของไทยเบฟเชื่อมโยงกับบริษัทย่อยหลายแห่ง โดยเฉพาะการลงทุนผ่านบริษัท เอฟแอนด์เอ็น (F&N) ของมาเลเซีย ภายใต้กลุ่มสิงคโปร์และไทยเบฟ ซึ่งใช้ฐานะการเงินของตนเองในการพัฒนาโครงการฟาร์มโคนม ร่วมกับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร (food security) และจัดหาน้ำนมคุณภาพให้ประชาชน

นอกจากนี้ ในอนาคตไทยเบฟยังต้องการผลักดันให้ F&N Holding เป็นผู้นำในการเปิดตลาดสินค้าฮาลาล ซึ่งปัจจุบันมีผู้บริโภคกว่า 1.9 พันล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็นราว 2.5 พันล้านคนในปี 2050 โดยถือเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วกว่าตลาดทั่วไป ขณะที่อาเซียนมีความได้เปรียบจากตลาดมุสลิมขนาดใหญ่ในอินโดนีเซีย และมาเลเซียที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญในการขยายเส้นทางธุรกิจของกลุ่ม

ทั้งนี้ คุณฐาปน ย้ำว่า แม้ในปีถัดไป CAPEX ของไทยเบฟมีแนวโน้มลดลง แต่ไม่ได้หมายถึงการหยุดขยายธุรกิจ การลงทุนหลายโครงการไม่ได้สะท้อนอยู่ใน CAPEX เพราะอยู่ในลักษณะ OPEX (Operating Expenses) เช่น ระบบซอฟต์แวร์ การพัฒนาแพลตฟอร์มการตลาดดิจิทัล การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และการปรับปรุง Business Process เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกมิติ ไทยเบฟเลือกลงทุนอย่างมีเป้าหมาย ไม่เน้นเร่งลงทุนเพื่อแข่งขันกับผู้อื่น แต่ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าระยะยาวและผลตอบแทนที่ยั่งยืน

สำหรับธุรกิจสุรา บริษัทให้ความสำคัญทั้งการขยายตลาดและการสร้างการรับรู้แบรนด์อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น “รวงข้าว” สุราขาวในตำนานของไทยที่อยู่คู่ผู้บริโภคมานาน แม้วันนี้เทรนด์เครื่องดื่มต่างชาติจะดูทันสมัยกว่า แต่จริง ๆ แล้วสุราขาวก็มีเอกลักษณ์และ “drinking rituals” ของเราเอง เช่น กินแตะเกลือ บีบมะนาว หรือจิ้มมะขามเปียก สิ่งเหล่านี้สะท้อนวัฒนธรรมการดื่มแบบไทยที่ไม่แพ้ tequila shot ของต่างชาติ เพียงแต่เราต้องเล่าเรื่องและยกระดับภาพลักษณ์ให้ผู้บริโภครู้สึกภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของเราเอง

เมื่อมองไปที่ตลาดนานาชาติ ไทยเบฟขยายไปสู่คอนยัคและบรั่นดี ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคในอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนามที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมฝรั่งเศส เช่นเดียวกับเบียร์ ที่ไทยเบฟพยายามยกระดับมาตรฐานคุณภาพให้คนไทยภาคภูมิใจ ยกตัวอย่าง เบียร์ช้างที่ได้รับคำชมจากนักศึกษาต่างชาติผู้ชนะรางวัล SEP Award ของ Enactus จากเยอรมนี ซึ่งได้ซื้อเบียร์จากร้านสะดวกซื้อหลายยี่ห้อ แต่ยกให้เบียร์ช้างเป็นแบรนด์ที่รสชาติ “ตรงใจ” เพราะไม่หวานเกินไป ซึ่งตรงกับรสนิยมสากล ทำให้ไทยเบฟมั่นใจว่ามาตรฐานสินค้าของบริษัทได้รับการยอมรับในระดับโลก

ในกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ไทยเบฟสร้างความแตกต่างด้วยพอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย การมีสินค้าที่หลากหลายช่วยให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ธุรกิจอาหารก็ได้รับการต่อยอดอย่างจริงจัง โดยการร่วมลงทุนกับฮาวี ลอจิสติกส์ (ประเทศไทย) ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านการจัดการห่วงโซ่ความเย็น (cold chain) ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานกับพันธมิตรระดับโลก เช่น KFC และ Starbucks ทำให้ไทยเบฟสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและจัดเก็บสินค้า สร้างระบบที่เชื่อมโยงธุรกิจอาหารกับธุรกิจเครื่องดื่มได้อย่างครบวงจร

จากกลยุทธ์ดังกล่าว ไทยเบฟเดินหน้าต่อยอดธุรกิจหลักทั้งสุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหาร พร้อมตอกย้ำการเป็น Total Beverage and Food Company ชั้นนำที่ครบวงจรและยั่งยืน โดยเน้นทั้งการขยายตลาดในอาเซียน การยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล และการลงทุนในระบบนวัตกรรมและโลจิสติกส์ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

ไทยเบฟชี้ “การบริหารคน” คือโจทย์หิน ต้องหาสมดุลพลังคนรุ่นใหม่-ประสบการณ์รุ่นพี่

สำหรับความท้าทายในการบริหารงานในอนาคต คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เรื่อง “คน” เป็นโจทย์ท้าทายที่สุดในการบริหารองค์กร แม้ทุกคนจะทำงานด้วยความเข้มแข็งและสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟมาโดยตลอด แต่ความแตกต่างด้านช่วงวัยและพลังในการทำงานทำให้ต้องหาสมดุลอย่างระมัดระวัง เช่น แม้บริษัทในเครืออย่าง QSR (ผู้ดำเนินธุรกิจ KFC) จะกำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 55 ปี แต่ในสายงานฝ่ายขายจริง ๆ แล้วควรมีเกณฑ์อายุต่ำกว่านั้น เพราะเมื่ออายุเข้าใกล้ 60 พลังในการทำงานและความสามารถในการปิดยอดขายย่อมไม่เหมือนเดิม 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าคนรุ่นพี่ไม่มีคุณค่า แต่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทัศนคติหลังโควิด ที่ทำให้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพและการบาลานซ์ชีวิตมากขึ้น ขณะที่คนรุ่นใหม่วัย 20-30 ปี กลับมีพลังและความมุ่งมั่นเต็มที่ พร้อมทุ่มเทเพื่อสร้างความสำเร็จในเส้นทางอาชีพ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการหาจุดสมดุลให้เหมาะสม เพราะหากมีแต่พลังแต่ขาดประสบการณ์ก็อาจผิดพลาดได้ง่าย ขณะเดียวกัน หากมีประสบการณ์สูงแต่พลังลดลง ผลลัพธ์ก็อาจไม่เป็นไปตามเป้า

นอกจากนี้ ความท้าทายในการบริหารคนยังรวมไปการสร้าง “ความเข้าใจและการยอมรับร่วมกัน” ท่ามกลางความแตกต่างของคนเก่งที่มาจากหลากหลายมุมมอง ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและการทำงานร่วมกันของทีมหลัก (core team) และคณะกรรมการขับเคลื่อน (Group Steering Committee) ที่ประกอบด้วยผู้บริหารจากหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม กว่าที่ทุกฝ่ายจะรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้นั้น ต้องผ่านทั้งการพูดคุย แลกเปลี่ยน และปรับจนกลมกลืน

ด้านคุณโสภณ ราชรักษา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร เสริมว่า ไทยเบฟมีพนักงานกว่า 65,000 คน ครอบคลุมทั้งการผลิต บริการ และฝ่ายขาย ทำให้ต้องยึดแนวคิดการบริหารที่มองพนักงานเป็น “ทุนมนุษย์” (Human Capital) ไม่ใช่แค่ “ทรัพยากรมนุษย์” ที่ใช้แล้วหมดไป แต่เป็นทุนที่สามารถเติมเต็มและเพิ่มมูลค่าได้ แม้จะอยู่ในวัย 40-50 ปี หากยังมีคุณค่า ก็ยังเป็นทุนที่องค์กรต้องพัฒนาและต่อยอด

คุณฐาปน กล่าวถึง การพัฒนาศักยภาพบุคลากรว่า การรีสกิลและอัพสกิลเป็นสิ่งจำเป็นในการเปิด “Limitless Opportunity” หรือโอกาสไร้ขีดจำกัดให้กับพนักงานทุกคน โดยโอกาสเหล่านี้ขึ้นอยู่กับทัศนคติ การเปิดใจก้าวข้ามข้อจำกัด และความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ คุณฐาปน ย้ำว่า หากพนักงานเลือกทำเฉพาะงานของตนเองโดยไม่สนใจภาพรวม จะพลาดโอกาสในการร่วมมือและสร้างคุณค่าร่วมกันได้

คุณฐาปน อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อพนักงานเติบโตขึ้น หากยังทำงานได้เท่าเดิมโดยไม่ปรับตัว ถือเป็นการเสียโอกาส ดังนั้นการอัพสกิลจึงเป็นเส้นทางสำคัญของการทำงานในเชิงมืออาชีพ ซึ่งต้องมองในภาพรวมและยอมเปิดโอกาสให้ตนเอง เพราะโลกการทำงานอนาคตต้องการคนที่มองเห็นบริบทอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เพียงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน คุณฐาปนยกตัวอย่างว่าการเข้าใจเพียงมุมเดียวอาจทำให้เสียเปรียบ เพราะไม่สามารถจัดการและแก้ไขปัญหาได้ครบถ้วนในทุกมิติ ซึ่งบางครั้งต้องคิดพลิกกลับมุมมองถึง 720 องศา เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้จริง

นอกจากนี้ คุณฐาปน ยังทิ้งท้ายว่า ภายใต้เป้าหมาย PASSION 2030 หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดคือการ “ส่งต่อ” ภารกิจให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อไม่ให้องค์กรยึดติดอยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง รวมถึงคุณฐาปนเอง

“ผมต้องแน่ใจได้ว่าต้องมีคนที่ดีและเก่งที่มีศักยภาพนำพาองค์กรให้เจริญเติบโตต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพี่ๆ ผู้บริหาร จะเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ผมคุ้นเคย หรือว่าจะมาด้วยอย่างไรก็ตาม เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าองค์กรเราจะติดกับอยู่กับตัวบุคคล ฉะนั้นเนี่ยแม้เรื่องยากที่สุดของผมฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องคนแต่จริงๆ ซูมอินเข้ามา มากกว่าในเรื่องของคน คือในเรื่องของการทำความเข้าใจที่ให้อยู่ในบนพื้นฐานเดียวกัน” คุณฐาปน กล่าว

ไทยเบฟเร่งสู่ Net Zero ดันรีไซเคิล-ลดคาร์บอน-พลังงานสะอาดต่อเนื่อง

ควบคู่กับการเติบโตของธุรกิจ คุณฐาปนกล่าวว่า ไทยเบฟยังยึดมั่นในพันธกิจด้านความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Sufficiency for Sustainability” โดยน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้จริงในทุกมิติ ตั้งแต่การจัดการบรรจุภัณฑ์ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการพลังงานและน้ำ ไปจนถึงการร่วมมือกับชุมชนทั่วประเทศเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่แข็งแรง พร้อมตั้งเป้าว่าภายในปี 2583 จะสามารถนำน้ำทุกหยดกลับคืนสู่ระบบผ่านการปลูกป่าและทำฝายชะลอน้ำ

ด้าน คุณต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ เสริมว่า ความยั่งยืนเป็นรากฐานสำคัญของทุกมิติในการดำเนินธุรกิจ โดยไทยเบฟยึดหลักพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะ “สืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร” รวมถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติทั้ง 17 ข้อ มาเป็นแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ไทยเบฟประกาศความมุ่งมั่นในการสรรสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน (Enabling Sustainable Growth) โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ครอบคลุม Scope 1, 2 และ 3 ภายในปี 2593 พร้อมขับเคลื่อนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่อเนื่องทั่วประเทศ ซึ่งในปีล่าสุดบริษัทบรรลุผลสำคัญหลายด้าน ได้แก่ การนำบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วกลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิลได้ถึง 97% ของที่จำหน่ายในประเทศ นำขยะอาหารและของเสียกว่า 50% กลับมาใช้ประโยชน์ มีสัดส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ได้เครื่องหมาย “ทางเลือกสุขภาพ” เพิ่มขึ้นเป็น 74% ใช้พลังงานหมุนเวียน 42.6% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1 และ 2 ลงได้ 5.12% จากปีฐาน 2566 และลดการใช้น้ำต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ได้ 5.33%

ในด้านพลังงานสะอาด ไทยเบฟติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาและแบบลอยน้ำในโรงงาน 41 แห่ง และสถานที่ปฏิบัติงานอีก 8 แห่งในหลายประเทศ รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด 61.86 เมกะวัตต์ พร้อมลงทุนโครงการหม้อต้มก๊าซ LPG ที่นครสวรรค์เพื่อลดการใช้น้ำมันเตาและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างโรงงานผลิตก๊าซชีวภาพแห่งใหม่ที่ราชบุรี ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกว่า 1.77 ล้านลิตรต่อปี

สำหรับการจัดการบรรจุภัณฑ์ บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ขวดโออิชิและคริสตัลที่ใช้ฝาติดขวดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรีไซเคิล และเอสโคล่าขนาด 515 มล. ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% รวมถึงดำเนินโครงการเก็บคืนบรรจุภัณฑ์ในเกาะ 9 แห่งภาคตะวันออกและใต้ ซึ่งสามารถเก็บคืนได้กว่า 2,500 ตันในปี 2567

ด้านการบริหารจัดการน้ำ ไทยเบฟดำเนินโครงการ “แบ่งปันน้ำสู่ชุมชน” ในไทยและเมียนมา รวมทั้งโครงการ “น้ำดื่มสะอาด” ให้โรงเรียนในไทยและเวียดนาม ขณะเดียวกันยังร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงพัฒนาพื้นที่เชียงดาว ซ่อมฝายน้ำขี้เหล็กเพื่อส่งน้ำไปยังพื้นที่เพาะปลูกกว่า 1,630 ไร่ กักเก็บน้ำได้ปีละกว่า 123,000-205,000 ลูกบาศก์เมตร พร้อมจัดตั้งกองทุนน้ำเพื่อการจัดการที่ยั่งยืน และสนับสนุนการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 72 สถานีในลุ่มน้ำภาคเหนือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรน้ำและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ


แชร์
ไทยเบฟปี69 จ่อลงทุน9พันล้าน เน้นนอนแอลฯ เชื่อนโยบายรัฐกระตุ้นแรงซื้อ