“ในเมื่อเราใช้ทรัพยากรของโลกมาขนาดนี้แล้ว เราใช้น้ำ ใช้อากาศ โลกให้เรามีชีวิตและชีวา แล้วเราจะทำอะไรขอบคุณโลกได้บ้าง สิ่งที่เหลือหลังตายคือร่างกายของเรา ตลอดชีวิตเรารู้หรือเปล่าว่าเรามีทองเป็นก้อนเลย นั่นก็คือร่างกาย มันทำทุกอย่างให้เราแล้ว พอคุณตายมันยังอยู่ เราคืนสิ่งที่มีคุณค่านี้ให้กับโลกได้ไหม ในเมื่อมันอยู่มาด้วยทรัพยากรของโลก เราต้องคืนให้โลก”
นี่เป็นคำถามชวนคิดจาก คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ ผู้ก่อตั้ง และ ประธานที่ปรึกษากิติมศักดิ์ บริษัท ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ที่ทำงานสร้างความตระหนักรู้เรื่องการวางแผนเพื่อให้มีชีวิตระยะท้ายที่ดี หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘ตายดี’ และกำลังแนะนำแนวคิด ‘คืนสู่ดิน’ เป็นทางเลือกการจัดการร่างกายหลังการตายโดยไม่เผาศพ ไม่สร้างมลพิษทางอากาศให้โลก แต่คืนร่างลงไปสู่ดินให้เป็นปุ๋ยหรือเป็นอาหารของสัตว์ ซึ่งมีหลายวิธีที่ทำกันในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ หรือ ‘ป้าศรี’ ของหลายๆ คนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองแนวคิดดังกล่าวบนเวทีทอล์ก ‘คืนสู่ดิน’ ที่โซน SX Talk Stage ในมหกรรมความยั่งยื่น ‘Sustainability Expo 2025’ (SX2025) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา โดยมี นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา นักแสดงรักสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ‘KidKid’ บริษัทที่ปรึกษาการออกแบบการสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมพูดคุย โดยมี ดร.ดีพร้อม เทพหัสดิน ณ อยุธยา อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเทศศาสตร์ และผู้ก่อตั้ง ‘KidWise Studios’ นวัตกรรมสื่อเพื่อความยั่งยืน ดำเนินการสนทนา
จากที่สนใจเรื่องชีวิตและความตายมาตั้งแต่สาวๆ เป็นแรงผลักดันให้ทำ ‘ชีวามิตร’ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เรื่องการตายดี และการทำให้คนไทยเข้าถึงการรักษาแบบประคับประคองให้ได้มากที่สุด อยู่มาวันหนึ่ง กิจวัตรประจำวันธรรมดาๆ อย่างการกินข้าวทำให้คุณหญิงจำนงศรีฉุกคิดเรื่องร่างกายหลังความตาย
“วันหนึ่งตักหมูต้มขึ้นมา มันทำให้ฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้าเอาตัวเราไปต้มก็ออกมาเป็นเหมือนกัน ทำให้เข้าใจว่าชีวิตอยู่ได้ด้วยความตาย เพราะทุกอย่างที่เรากลืนเข้าไปแล้วกลายเป็นสารอาหารให้เรา มันคือสิ่งที่เคยมีชีวิตและตายแล้ว เราไม่สามารถกินอะไรที่ไม่เคยมีชีวิตมาก่อน”
หมูต้มในวันนั้นทำให้คุณหญิงจำนงศรีคิดว่า ชีวิต ดิน ธรรมชาติ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สัมพันธ์กันหมด เพราะต้นไม้ที่ใช้เลี้ยงสัตว์ที่มาเป็นอาหารของมนุษย์ และต้นไม้ที่เป็นอาหารของมนุษย์ล้วนเกิดจากดินทั้งหมด ชีวิตและการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ ทั้งการอยู่ การกิน การตาย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และนั่นเป็นที่มาของการคิดต่อไปถึงร่างกายหลังความตาย นำไปสู่งานอีกเฟสหนึ่งของ ‘ชีวามิตร’ คือ การเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการร่างกายหลังเสียชีวิต
ช่วงหนึ่งของการสนทนามีการเปิดวิดีโอที่บันทึกการพูดคุยกับคุณหญิงจำนงศรีในสวนหน้าบ้านท่ามกลางต้นไม้เขียวชอุ่ม
คุณหญิงกล่าวในวิดีโอนั้นว่า “ในเมื่อเราใช้ทรัพยากรของโลกมาขนาดนี้แล้ว เราใช้น้ำ ใช้อากาศ โลกให้เรามีชีวิตและชีวา แล้วเราจะทำอะไรขอบคุณโลกได้บ้าง สิ่งที่เหลือหลังตายคือร่างกายของเรา ตลอดชีวิตเรารู้หรือเปล่าว่าเรามีทองเป็นก้อนเลย นั่นก็คือร่างกาย มันทำทุกอย่างให้เราแล้ว พอคุณตายมันยังอยู่ เราคืนสิ่งที่มีคุณค่านี้ให้กับโลกได้ไหม ในเมื่อมันอยู่มาด้วยทรัพยากรของโลก เราต้องคืนให้โลก”
การ “คืนให้โลก” ที่คุณหญิงจำนงศรีมอง คือ ไม่ให้ร่างกายหลังการตายสร้างมลภาวะ โดยปล่อยให้มันกลับไปสู่ดิน ไปสู่การเป็นอาหารของพืชและสัตว์ ซึ่งคุณหญิงมองว่า การจัดการศพแบบไม่สร้างมลภาวะให้โลกจะทำให้รู้สึกเป็นสุขด้วย เพราะ “ขณะที่จะตายเราจะรู้ว่าไม่มีส่วนไหนของเราที่จะเป็นลบ แต่จะเป็นบวก มันเป็นวงจรของการเอื้อต่อกัน เป็นความขอบคุณ เป็นการรับและการให้ เป็นวงจรที่ถ้าเราเห็นเราจะตระหนักว่าความตายเป็นแค่ส่วนหนึ่งของวงจรนี้ ถ้าถามว่ามีอะไรที่จะบอกโลกใบนี้ ณ ตอนนี้ คือ จะบอกว่าขอบคุณ ขอบคุณเหลือเกิน ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
คุณหญิงจำนงศรี หรือป้าศรี กล่าวบนเวทีเพิ่มเติมจากที่พูดในการบันทึกวิดีโออีกว่า “เวลาที่สัตว์ในป่ามันตาย มันก็ตายแล้วกลายเป็นดิน เป็นธรรมชาติ เป็นดินที่รุ่มรวยด้วยสารอาหารสำหรับป่า และป่าก็เป็นร่มเงา-ผลิตออกซิเจนให้เรา มันเป็นวงจร แล้วมนุษย์วิเศษยังไงที่ตายแล้วไปสร้างมลพิษที่ทำให้โลกเสื่อมลง ที่ทำให้เกิด PM 2.5 ซึ่งนอกจากเป็นต้นเหตุมะเร็งปอดแล้วยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองเสื่อมด้วย คุณไม่กลัวมะเร็งปอด ไม่กลัวสมองเสื่อมเหรอคะ
“ป้ามองไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมเราไม่แค่ผ่านกระบวนการธรรมชาติ เราควรขอบคุณโลก แล้วทำไมเราไปทำร้ายโลก เรากินเนื้อปลา เนื้อหมู เนื้อสัตว์ เพื่อมีชีวิตอยู่ แล้วทำไมเราไม่ขอบคุณเขาด้วยการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมที่เขาต้องอยู่อาศัย มันเป็นการกระทำที่ไม่กตัญญู”
จากแนวคิดไม่เผาศพ ไม่สร้างมลพิษ คุณหญิงจำนงศรีแชร์ข้อมูลว่า การจัดการศพแบบที่จะไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมมีหลายวิธีมาก วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ‘Green Burial’ เป็นการฝังโดยไม่นำศพใส่โลง แค่ห่อผ้าแล้วฝังลงดินแล้วปลูกต้นไม้ไว้เหนือศพนั้น ซึ่งในประเทศอังกฤษนิยมทำวิธีนี้ และมีป่าเกิดขึ้นมาเพราะ Green Burial จำนวนมาก แต่ปัญหาของ Green Burial คือยังมีเชื้อโรคจากร่างกายมนุษย์อยู่ในดินบริเวณที่ฝัง อย่างไรก็ตาม คนที่ทำงานเรื่องจุลินทรีย์เห็ดบอกว่า ไม่จำเป็นต้องกลัวเชื้อโรคมากนัก เพราะจริงๆ แล้วเชื้อโรคก็เป็นส่วนหนึ่งของดิน เป็นธรรมชาติของดิน
อีกวิธีหนึ่ง คือ ‘Aqua Cremation’ เป็นการจัดการศพด้วยน้ำ โดยใส่ศพลงไปในแทงก์ที่บรรจุน้ำผสมด่าง เป็นสารละลายร้อน ใช้เวลาไม่เกิน 6 ชั่วโมงศพจะสลายเป็นผง ครอบครัวสามารถเก็บผงไว้ได้ส่วนหนึ่ง เหมือนการเก็บเถ้าถ่านจากวิธีการเผาทั่วไป ส่วนผงที่เหลือนำไปโปรยลงดินเป็นสารอาหารให้ดินได้ แต่ทั้งนี้ ป้าศรีบอกว่า “ป้าไม่ค่อยอินกับวิธีนี้เท่าไหร่”
ส่วนวิธีที่สาม เป็นวิธีการที่ ‘ชีวามิตร’ สนับสนุน คือ การจัดการศพแบบ ‘Recompose’ ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ‘Natural Organic Reduction (NOR)’ หรือ ‘Human Composting’ วิธีการนี้จะเริ่มจากการไม่ฉีดฟอร์มาลีนให้ศพแต่ฉีดสารธรรมชาติแทน แล้วบรรจุศพและวัสดุช่วยย่อยสลายใส่ในโลงศพ ประกอบด้วย เศษไม้ หญ้าอัลฟัลฟา (ในไทยสามารถใช้เห็ดแทน) และฟาง ให้เป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ช่วยย่อยสลาย ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่าๆ ศพจะย่อยสลาย เมื่อศพย่อยสลายแล้วนำไปเป็นปุ๋ยบำรุงดินบำรุงต้นไม้
คุณหญิงจำนงศรีบอกว่า ชอบวิธีการนี้มากที่สุด เพราะส่วนตัวเป็นคนรักต้นไม้ ปลูกต้นไม้เยอะ เมื่อตัดกิ่งไม้ขนาดใหญ่แล้วไม่รู้จะจัดการอย่างไร จึงมองว่าถ้าในประเทศไทยใช้วิธีการจัดการศพวิธีนี้แพร่หลาย จะเกิดธุรกิจรับเก็บกิ่งไม้เหล่านี้เพื่อนำไปใช้ในการจัดการศพ เป็นการช่วยครัวเรือนจัดการกิ่งไม้ในบ้านอีกทางหนึ่ง
ไม่เพียงแค่กระบวนการจัดการศพโดยไม่เผาซึ่งจะดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่คุณหญิงจำนงศรีมีไอเดียต่อยอดไปอีกว่า น่าจะดี หากประเทศไทยมีการนำที่ดินราชพัสดุ ที่ดินของทหาร หรือที่ดินของเอกชนที่ปล่อยรกร้างว่างเปล่า ไปใช้ประโยชน์เป็นป่าสุสาน แล้วให้เป็นป่าชุมชน หรือเปิดเป็นสวนสำหรับการพักผ่อน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าให้ทำเป็นการกุศล แต่สามารถทำเป็นธุรกิจป่าสุสานได้ โดยต้องมีการออกกฎหมายควบคุมชัดเจน และผู้ที่ต้องการทำต้องขออนุญาตจากรัฐ
นอกจากนั้น คุณหญิงจำนงศรีบอกว่า ปัจจุบันการนำอัฐิไปลอยอังคารได้สร้างปัญหาให้แก่ทะเลเป็นอย่างมาก เนื่องจากในห่ออัฐินั้นมีเหรียญด้วย เป็นการสร้างขยะในทะเลจำนวนมาก
“ร่างกายมนุษย์มันวิเศษขนาดไหนที่จะต้องทำขั้นตอนมากมายแบบนั้น ในเมื่อเรากินเขาอยู่ตลอดเวลา ทุกวันเราเอาศพพืชศพสัตว์มาใส่จานแล้วกินเข้าไป ทำไมศพของเราต้องพิเศษนัก” ป้าศรีย้ำคำถามสำคัญ
“มีคนท้าทายมาเรื่อยๆ ว่าแล้วใครจะยอม [ให้ศพของตัวเองสลายไปง่ายๆ แบบไม่ผ่านขั้นตอนแบบที่ทำกันมา] ป้าอายุ 86 ป้าจะไปในเร็วๆ นี้ ป้าจะเป็นศพแรก เพื่อจะพิสูจน์ว่า Who cares ?” คุณหญิงจำนงศรีประกาศเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่
ด้าน นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา นักแสดงสาวรักษ์โลก ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการออกแบบการสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อม ‘KidKid’ ที่มาร่วมพูดคุยบอกว่าเธอได้ป้าศรีเป็นไอดอลเพิ่มอีกหนึ่งคน จากการฟังแนวคิดคืนสู่ดินในวันนี้แล้วเธอบอกว่า “ชอบแนวคิดของคุณป้าจังเลย”
นุ่นเล่าว่า ก่อนหน้านี้เธอมีมุมมองต่อชีวิตและธรรมชาติว่า ชีวิตของมนุษย์กับธรรมชาติแค่ต่างคนต่างอยู่ในโลกใบเดียวกัน ไม่ได้เป็นอันหนึ่งเดียวกัน แต่พอศึกษามากขึ้นจากการที่มีคู่รักเป็นคนสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก่อน แล้วเธอก็พบว่าชีวิตมนุษย์กับธรรมชาติ ไม่ได้แยกจากขาดจากกัน และไม่ใช่เพียงมนุษย์ที่พึ่งพาธรรมชาติฝ่ายเดียว แต่ธรรมชาติก็ต้องการการดูแลใส่ใจจากมนุษย์เช่นกัน
“อย่างที่ป้าศรีบอกว่ามันคือโลกเดียวกัน ถ้าเราทำดีกับเขา เขาจะดีกับเรา ถ้าเราทำไม่ดีกับเขา เขาก็จะไม่ดีกับเรา เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันคือระบบนิเวศ เราอยู่บนโลก เราไม่มีทางหนีไปใช้ชีวิตอยู่นอกโลกได้ นี่คือโลกที่เราต้องดูแล”
นุ่นแชร์ในเรื่องการวางแผนชีวิตอีกว่า เธอกับสามี (ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร) วางแผนชีวิตว่าจะไม่มีลูก และวางแผนว่าจะใช้ชีวิตวัยชราอย่างไร ไปจนถึงวางแผนว่าหากใครคนหนึ่งต้องจากไปก่อน คนข้างหลังจะจัดการอย่างไรโดยที่ยังพึ่งพาตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น แต่การมาร่วมเวทีสนทนานี้ทำให้เธอได้คิดต่อเรื่องการจัดการศพ
“ก่อนหน้านี้มองแค่การเกษียณโดยไม่เป็นภาระลูกหลาน แต่วันนี้เปิดโลกมากที่ได้รู้ว่าร่างกายของเราหลังเสียชีวิตสามารถสร้างคุณค่าหรือตอบแทนบางอย่างให้โลกได้ วันนี้นุ่นได้ความรู้เยอะมาก และนุ่นรู้สึกว่าไอเดียป่าชุมชนเจ๋งมากเลย มันสามารถเป็นธุรกิจที่ดีได้ มันมีโอกาสทำได้จริง”
นุ่นสรุปความรู้สึกของเธอจากการพูดคุยบนเวทีนี้ว่า “รู้สึกว่าสิ่งที่ป้าศรีพูดเป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่ตกผลึก ผ่านชีวิตมาแล้วเข้าใจ พูดแล้ว impact กับนุ่นว่าความตายมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ที่สำคัญที่นุ่นชอบมากเลยที่คุณป้าบอกว่า โลกให้เรา แล้วเราทำอะไรเพื่อโลกใบนี้บ้าง ซึ่งอันนี้ตรงกับอุดมการณ์บางอย่างที่นุ่นทำอยู่ วันนี้เหมือนนุ่นมาเจอผู้ร่วมอุดมการณ์อีกคนหนึ่ง”