CK Hutchison Holdings กลุ่มบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่จากฮ่องกง กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากรัฐบาลจีนให้ยุติการขายท่าเรือสองแห่งใกล้คลองปานามา ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา
ภายใต้แรงกดดันจากรัฐบาลจีน CK Hutchison ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะไม่เดินหน้ากับข้อตกลงดังกล่าว หากข้อตกลงนั้นขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐบาลจีน ซึ่งผลลัพธ์ของสถานการณ์นี้จะมีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากการเจรจาภาษีระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินอยู่
นายโดมินิก ไล กรรมการผู้จัดการร่วมของกลุ่มบริษัท กล่าวในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีว่า “CK Hutchison จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับการสอบสวนทั้งหมด” พร้อมย้ำว่าบริษัทจะไม่ละเมิดกฎหมายจีนอย่างเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ ในเดือนเมษายน มีรายงานว่า CK Hutchison อาจแยกท่าเรือทั้งสองแห่งออกจากข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่พอใจจากรัฐบาลจีน อย่างไรก็ตาม ทางการจีน โดยสำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งรัฐ (SAMR) ระบุว่าความพยายามใด ๆ ที่จะหลีกเลี่ยงการสอบสวน “ถือเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้”
ประเด็นดังกล่าวเริ่มต้นจากถ้อยแถลงของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประกาศเมื่อต้นปีว่าเขาจะ “ยึดคลองปานามาคืน” และกล่าวหาว่าจีนซึ่งมีบทบาทผ่าน CK Hutchison กำลังควบคุมเส้นทางเดินเรือสำคัญนี้
ภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ CK Hutchison ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเมื่อเดือนมีนาคม เพื่อขายสิทธิในการดำเนินการท่าเรือ 43 แห่งทั่วโลก รวมถึงท่าเรือในปานามา ให้แก่กลุ่มนักลงทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง BlackRock ด้วยมูลค่ารวม 2.28 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทว่าความพยายามในการลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์กลับสร้างแรงเสียดทานกับรัฐบาลจีน ซึ่งประกาศเปิดการสอบสวนข้อตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ การที่บริษัทไม่ได้แจ้งหรือปรึกษาผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนล่วงหน้า ถูกมองว่าเป็นการละเมิดที่ร้ายแรง
หนังสือพิมพ์ “ตากุงเป่า” ซึ่งเป็นสื่อของรัฐในฮ่องกง ได้เผยแพร่บทความต่อเนื่องตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เรียกร้องให้ CK Hutchison ถอนตัวจากข้อตกลง โดยให้เหตุผลว่า การขายท่าเรืออาจกระทบต่อ “ความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ” และล่าสุดบทความเหล่านี้ได้ขยายมาสู่การโจมตีเชิงบุคคลและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่
แม้รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์จะยกย่องการขายครั้งนี้ว่าเป็น “ก้าวแรกในการทวงคืนคลองปานามา” แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติม ขณะที่ CK Hutchison ยังต้องตัดสินใจท่ามกลางความกดดันจากทั้งสองฝ่าย หากยกเลิกข้อตกลงก็อาจกระทบความสัมพันธ์กับวอชิงตัน
ช่วงเวลาการเจรจาแบบผูกขาดกับกลุ่มนักลงทุนสหรัฐฯ มีกำหนดสิ้นสุดในปลายเดือนกรกฎาคมนี้ รวมระยะเวลา 145 วัน
ดร.หลิว ตงซู่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก City University of Hong Kong ระบุว่า ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ อาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการตัดสินใจของบริษัท แต่เป็น “ปัจจัยสำคัญ” ที่มีอิทธิพลต่อกลยุทธ์โดยรวม
เขาเสริมว่าจีนไม่ต้องการทำลายภาพลักษณ์ในสายตานักลงทุนต่างชาติด้วยการบีบบังคับให้บริษัทคู่ค้ายกเลิกข้อตกลงระหว่างประเทศ และภายหลังจากที่ทั้งสองประเทศตกลงลดภาษีตอบโต้กันในเดือนพฤษภาคม จีนอาจเลือกใช้ท่าที “ผ่อนปรนมากขึ้น”
CK Hutchison Holdings เป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ก่อตั้งโดยนายหลี่ กา ซิง นักธุรกิจชาวฮ่องกงผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ปัจจุบันดำเนินธุรกิจหลากหลายครอบคลุมกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งในด้านบริการท่าเรือ โทรคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน และค้าปลีก และถือครองกิจการท่าเรือ 52 แห่ง และท่าเทียบเรือมากกว่า 291 แห่งทั่วโลก
ขณะที่ BlackRock Inc. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของโลก มีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารรวมในระดับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีบทบาทสำคัญในภาคโลจิสติกส์และการขนส่งทางทะเล โดยเฉพาะการลงทุนในบริษัทเดินเรือและผู้ให้บริการท่าเรือขนาดใหญ่
ดังนั้น หากดีลนี้เกิดขึ้นจริง การตัดสินใจของกลุ่ม CK Hutchison Holdings ในการขายท่าเรือให้กับบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง BlackRock Inc. จะพลิกโฉมความเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานทางทะเลทั่วโลก โดยเฉพาะท่าเรือที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น คลองปานามา ช่องแคบมะละกา และคลองสุเอซ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและการค้าระหว่างประเทศ
การเปลี่ยนผ่านความเป็นเจ้าของจากทุนจีนไปสู่ทุนอเมริกัน ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนมือทรัพย์สิน แต่คือการสั่นคลอนอำนาจการควบคุมของจีนใน choke points ทางยุทธศาสตร์ อันอาจเพิ่มต้นทุนให้กับบริษัทจีนที่พึ่งพาเส้นทางเหล่านี้ ในทางกลับกัน สหรัฐฯ จะสามารถใช้บทบาทของภาคเอกชนตนเองในการกำหนดท่าทีทางการค้า บีบคั้นหรือจำกัดอิทธิพลจีนในระดับโลก
ดีลนี้ยังเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองจากสหรัฐฯ ที่มุ่งลดบทบาทของจีนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก โดยมีผลสะเทือนชัดเจนเมื่อปานามากลายเป็นประเทศแรกในอเมริกาใต้ที่ถอนตัวจากโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงภูมิภาคผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
แม้ประธานาธิบดีปานามา โฮเซ ราอุล มูลิโน จะปฏิเสธว่าจีนมีอิทธิพลเหนือคลองปานามา แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันหนักแน่นว่าต้อง "ทวงคืน" ความมั่นคงของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์ตอบโต้ พร้อมเรียกร้องให้ปานามาทบทวนท่าทีเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก BRI
ภายใต้แรงกดดันดังกล่าว นักวิเคราะห์คาดว่าจีนจะตอบโต้การสูญเสียอำนาจใน choke points ด้วยมาตรการหลากหลาย ได้แก่
ดังนั้น กรณี CK Hutchison จึงไม่ใช่แค่ดีลธุรกิจระดับโลก แต่เป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในศตวรรษที่ 21 ผ่านเศรษฐกิจโครงสร้างพื้นฐาน การควบคุมเส้นเลือดของการค้าโลก ไม่ว่าจะโดยรัฐหรือทุนเอกชน กลายเป็นเครื่องต่อรองทางยุทธศาสตร์ ที่ชี้วัดบทบาทของมหาอำนาจในระเบียบโลกใหม่ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ