Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
'อัตราเงินเฟ้อ' คิดจากอะไร? ทำไมลดต่ำแล้วยังรู้สึกว่าของแพง?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

'อัตราเงินเฟ้อ' คิดจากอะไร? ทำไมลดต่ำแล้วยังรู้สึกว่าของแพง?

25 พ.ค. 68
14:24 น.
แชร์

เงินเฟ้อติดลบ แต่ค่าครองชีพไม่ลด: เข้าใจเศรษฐศาสตร์เบื้องหลังความรู้สึกที่สวนทางตัวเลข

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลงมาอยู่ที่ -0.22% นับเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 13 เดือน และกลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยอาจกำลังเข้าสู่ “ภาวะเงินฝืด” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อราคาสินค้าและบริการลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การบริโภค การลงทุน และการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวในระยะยาว

แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังวิกฤตโควิด-19 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เงินเฟ้อกลับทรงตัวในระดับต่ำ และต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1–3% มาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ หลายคนยังคงรู้สึกว่าค่าครองชีพไม่ได้ลดลงตามตัวเลขเงินเฟ้อ สินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันยังมีราคาสูง หรือในบางกรณียังแพงขึ้นด้วยซ้ำ ทั้งที่โดยหลักแล้ว เมื่อเงินเฟ้อติดลบ ราคาสินค้าควรจะลดลง

บทความนี้ SPOTLIGHT จะชวนคุณมาทำความเข้าใจว่า “เงินเฟ้อ” คืออะไร ทำไมตัวเลขที่สะท้อนผ่านดัชนีราคาผู้บริโภคจึงอาจไม่สะท้อนประสบการณ์จริงของคนส่วนใหญ่ และเหตุใดความรู้สึกเรื่องค่าครองชีพจึงสวนทางกับตัวเลขเงินเฟ้อที่ประกาศออกมา

เงินเฟ้อวัดจากอะไร? แล้วสะท้อนอะไร (หรือไม่สะท้อนอะไร) บ้าง?

เมื่อเห็นพาดหัวข่าวว่า “เงินเฟ้อลดลง” หรือ “เงินเฟ้อติดลบ” หลายคนอาจรู้สึกว่านี่คือสัญญาณบวกต่อค่าครองชีพ เพราะตามสามัญสำนึก หากเงินเฟ้อลดลง ก็หมายความว่าสินค้าควรถูกลง และเราน่าจะใช้จ่ายได้สะดวกขึ้น

แต่เมื่อเดินเข้าร้านค้า ความเป็นจริงกลับสวนทางกับตัวเลขในข่าว สินค้าหลายรายการยังคงแพง หรือบางรายการยิ่งขึ้นราคา กลายเป็นคำถามว่า “เงินเฟ้อติดลบที่ประกาศ มันตรงกับความเป็นจริงแค่ไหน?” หรือ “ถ้าเงินเฟ้อลดลง ทำไมเรายังรู้สึกว่าของแพงเหมือนเดิม?”

เพื่อหาคำตอบ เราต้องย้อนกลับไปที่คำถามพื้นฐานว่า “เงินเฟ้อ” วัดจากอะไร? และสะท้อนอะไรได้บ้าง?

ในเชิงเศรษฐศาสตร์ “เงินเฟ้อ” (Inflation) คือการวัด อัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการโดยรวม ในระบบเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า เช่น เดือนก่อน หรือช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ในประเทศไทย เราใช้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) เป็นเครื่องมือหลักในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ โดยอ้างอิงจากราคาสินค้าและบริการใน “ตะกร้าเงินเฟ้อ” ที่จัดทำโดย กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งรวบรวมรายการสินค้าจำเป็นที่ผู้บริโภคใช้จ่ายจริงในชีวิตประจำวัน

ข้อมูลล่าสุด (ณ ก.พ. 2568) ระบุว่า ตะกร้านี้ครอบคลุมสินค้าและบริการจำนวน 464 รายการ แบ่งออกเป็น 7 หมวดใหญ่ ได้แก่

  • อาหารและเครื่องดื่ม เช่น ข้าวสาร ไข่ น้ำตาล น้ำมันพืช
  • เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า
  • เคหสถาน เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม
  • การรักษาพยาบาลและบริการส่วนบุคคล เช่น ค่าหมอ ค่าตัดผม
  • การขนส่งและการสื่อสาร เช่น ค่ารถโดยสาร น้ำมัน ค่าโทรศัพท์
  • การศึกษา การบันเทิง และการอ่าน
  • ยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ แต่ละหมวดยังมีน้ำหนักถ่วง (weight) ที่แตกต่างกันตาม พฤติกรรมการบริโภคของครัวเรือนไทย ตัวอย่างเช่น ปี 2566 สินค้าในหมวด “อาหารและเครื่องดื่ม” มีน้ำหนักสูงที่สุดที่ 41.87% รองลงมาคือ “เคหสถาน” 22.09% และ “ขนส่ง-สื่อสาร” 17.06% รวมกันคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 81% ของ CPI ทั้งหมด

แล้วทำไมเงินเฟ้อลดลง แต่เรายังรู้สึกว่า “ของยังแพง”?

เหตุผลหลักคือ เงินเฟ้อวัดแค่ “การเปลี่ยนแปลงของราคา” ไม่ได้บอกว่า ณ ตอนนี้ ราคาสินค้าถูกหรือแพงแค่ไหน กล่าวง่าย ๆ คือ ต่อให้ราคาของไม่ได้ขึ้นไปจากปีก่อน หรือแม้จะลดลงเล็กน้อย แต่ถ้าลดน้อยกว่าปีก่อน ก็ยังถือว่า “เงินเฟ้อลดลง” ได้

เช่น หากราคาน้ำมันดีเซลปรับจาก 25 บาท/ลิตรในปี 2565 ขึ้นเป็น 35 บาทในปี 2566 แล้วลดลงเล็กน้อยเหลือ 34 บาทในปี 2567 แม้ราคาจะยังคงสูง แต่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ราคาลดลงเล็กน้อย จึงนับเป็น “เงินเฟ้อติดลบ” แต่ในสายตาผู้บริโภค เราก็ยังต้องจ่ายแพงกว่าก่อนวิกฤตอยู่ดี

ตรงนี้เองที่เกิดความเข้าใจผิดกันมาก เพราะหลายคนมักใช้คำว่า “เงินเฟ้อ” และ “ค่าครองชีพ” สลับกัน ทั้งที่ทั้งสองคำมีความหมายต่างกัน

  • เงินเฟ้อ วัดการ “เปลี่ยนแปลงของราคา”
  • ค่าครองชีพ สะท้อน “ระดับราคาที่แท้จริง” ที่ผู้บริโภคต้องแบกรับในชีวิตประจำวัน

อีกประเด็นที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่า “ของไม่เคยถูกลง” คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Sticky Price หรือ “ราคายึดติด” ซึ่งหมายถึง สินค้าบางประเภทที่ราคาปรับขึ้นแล้วจะไม่ค่อยลดลงตามต้นทุน เช่น

  • ราคาปุ๋ยและอาหารสัตว์ที่ขึ้นแรงช่วงโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน
  • ราคาน้ำมันพืช อาหารแปรรูป หรือวัตถุดิบ ที่แม้ต้นทุนบางอย่างลดลง แต่ราคาขายปลีกยังอยู่ที่เดิม เพราะต้นทุนอื่นยังสูง หรือร้านค้าต้องการรักษาระดับราคาไว้

กล่าวคือ ถึงเงินเฟ้อลดลง แต่หากราคาสินค้าคงที่ในระดับสูง ค่าครองชีพก็ยังสูงอยู่ และนี่คือเหตุผลที่คนจำนวนมากรู้สึกว่า “เงินเฟ้อลด แต่ชีวิตยังไม่ดีขึ้น”

เงินเฟ้อเฉลี่ย ≠ ความเป็นอยู่ของทุกคน

นอกจากนี้ แม้ดัชนี CPI จะสะท้อนภาพรวมระดับประเทศ แต่ก็ ไม่สามารถจับ “ความเหลื่อมล้ำทางประสบการณ์” ของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มได้อย่างชัดเจน เช่น

  • กลุ่มรายได้น้อย มักใช้จ่ายในสินค้าจำเป็นเป็นหลัก เช่น อาหาร ค่าเช่าบ้าน ค่าเดินทาง ดังนั้น เมื่อราคาสินค้าเหล่านี้ปรับขึ้น กลุ่มนี้จึงได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มรายได้สูง ซึ่งมีสัดส่วนการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือยหรือบริการที่ราคาอาจผันผวนน้อยกว่า
  • ประชาชนในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร จะรู้สึกถึง “ค่าครองชีพที่สูง” อย่างชัดเจนกว่าคนในต่างจังหวัด เนื่องจากราคาสินค้าและบริการพื้นฐาน เช่น ค่าอาหารนอกบ้าน ค่าเดินทาง และค่าเช่าที่อยู่อาศัย มักอยู่ในระดับที่สูงกว่า
  • ครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุ ก็อาจรู้สึกว่าค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้น แม้ในความเป็นจริง หมวดค่ารักษาพยาบาลจะมีน้ำหนักค่อนข้างน้อยในโครงสร้างของ CPI โดยรวม

นอกจากนี้ CPI ยังไม่สามารถสะท้อนความแตกต่างด้านราคาในแต่ละภูมิภาคได้อย่างครบถ้วน เช่น ราคาผักในภาคกลางอาจลดลงเพราะฝนดีและผลผลิตมาก แต่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เผชิญภัยแล้ง ราคาผักกลับพุ่งสูง ความผันผวนระดับภูมิภาคเช่นนี้มักไม่ปรากฏในตัวเลข CPI ระดับประเทศ

สรุปคือ แม้ตัวเลขเงินเฟ้อเฉลี่ยจะดูต่ำบนหน้ากระดาษ แต่ในความเป็นจริง ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มเผชิญประสบการณ์ที่แตกต่างกันอย่างมาก บางกลุ่มยังรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมวดจำเป็นที่มีผลต่อความเป็นอยู่ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ไม่สามารถสะท้อนผ่านตัวเลขเฉลี่ยเพียงอย่างเดียว


แชร์
'อัตราเงินเฟ้อ' คิดจากอะไร? ทำไมลดต่ำแล้วยังรู้สึกว่าของแพง?