ปี 2568 นับเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามทศวรรษ นับตั้งแต่ปี 2539 ที่ธนาคารกลางทั่วโลกถือครองทองคำเป็นมูลค่ามากกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Treasuries) สัญญาณนี้สะท้อนว่ากระบวนการ “ลดการพึ่งพาดอลลาร์” (de-dollarization) กำลังเดินหน้าอย่างจริงจัง
ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เพียงสถิติที่บังเอิญเกิดขึ้น แต่เป็นจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างของระบบการเงินโลก อันได้รับแรงหนุนจากความเปราะบางทางการคลังของสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลต่อการใช้ดอลลาร์เป็น “อาวุธการเงิน” ผ่านมาตรการคว่ำบาตร
ข้อมูลจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่า ณ เดือนพฤษภาคม การถือครองทองคำอย่างเป็นทางการทั่วโลกอยู่ที่ 36,344 ตัน โดยมูลค่าเพิ่มขึ้นตามราคาทองที่ทะยานเกิน 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปีนี้ ส่งผลให้ทองคำมีมูลค่ารวมสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประเมินว่า ณ มิถุนายน 2567 ต่างชาติถือครองพันธบัตรราว 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประเมินว่ามูลค่าตลาดทองคำสำรองทั่วโลกสูงกว่า 3.6 ล้านล้านดอลลาร์
ทาวี คอสตา (Tavi Costa) นักกลยุทธ์มหภาคจาก Crescat Capital กล่าวบนแพลตฟอร์ม X ว่า “นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับสมดุลครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย”
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา สถิติชี้ว่า ธนาคารกลางทั่วโลกได้เร่งสะสมทองคำเข้าสู่ทุนสำรองด้วยอัตราที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สะท้อนถึงพลวัตใหม่ของระบบการเงินระหว่างประเทศ
ในปี 2565 ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำสุทธิสูงถึง 1,136 ตัน มากที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลในปี 2493 และยังเหนือกว่าทุกช่วงหลังปี 2514 ที่สหรัฐฯ ยุติการผูกดอลลาร์กับทองคำ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างสถิติ แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการ “ปรับสมดุล” เชิงโครงสร้างของทุนสำรองโลก
แรงส่งดังกล่าวยังคงดำเนินต่อ โดยปี 2566 ธนาคารกลางยังคงเข้าซื้อในระดับสูง และในปี 2567 ก็ยังสร้างสถิติใหม่ในฐานะปีที่มีการสะสมทองคำสูงสุดเป็นอันดับสาม แม้จะต่ำกว่าปี 2566 เพียง 6.2 ตัน และน้อยกว่าสถิติสูงสุดของปี 2565 เพียง 91 ตัน
เพื่อให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ในช่วงปี 2553-2564 การสะสมทองคำของธนาคารกลางมีค่าเฉลี่ยเพียง 473 ตันต่อปี เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับสามปีล่าสุดที่เร่งตัวขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยเดิมถึง 2-3 เท่า จะเห็นได้ว่าทองคำกำลังเปลี่ยนสถานะจาก “เกราะป้องกันความเสี่ยง” ไปสู่ สินทรัพย์ยุทธศาสตร์ ในการจัดการทุนสำรองโลก และเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนยุค ที่ทองคำกลับมาอยู่ใจกลางของภูมิทัศน์การเงินโลกอีกครั้ง
ในขณะที่ทองคำได้รับการยกระดับบทบาทอย่างต่อเนื่อง ดอลลาร์ซึ่งเคยเป็นเสาหลักของทุนสำรองโลกกลับค่อย ๆ เสื่อมถอยลง ข้อมูล ณ สิ้นปี 2567 ระบุว่า ดอลลาร์ครองสัดส่วนเพียง 57.8% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลก ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2537 และหดตัวลงกว่า 7.3% ภายในเวลาเพียงทศวรรษ หากย้อนกลับไปปี 2545 ดอลลาร์ยังครองส่วนแบ่งสูงถึง 72% ของทุนสำรองทั้งหมด
รายงาน International Role of the Euro 2025 ของ ECB ยังสะท้อนแนวโน้มเดียวกัน โดยระบุว่า หากรวมทองคำซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 20% ของทุนสำรองโลกเข้ามาด้วย ดอลลาร์จะเหลือบทบาทเพียง 46% ของภาพรวมทั้งหมด
JPMorgan วิเคราะห์ว่า “แนวโน้มการลดการถือครองดอลลาร์ในทุนสำรองต่างประเทศ เชื่อมโยงโดยตรงกับความต้องการทองคำที่พุ่งสูงขึ้น” และสิ่งนี้ได้กลายเป็นแรงขับสำคัญของ ตลาดกระทิงทองคำ (Gold Bull Market) โดยมีการคาดการณ์ว่าราคาทองคำอาจพุ่งแตะ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในช่วงกลางปี 2569
อีกด้านหนึ่ง ความต้องการในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กลับซบเซาลงต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า บทบาทของดอลลาร์ในฐานะ “สินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด” ไม่ได้มั่นคงแข็งแกร่งเหมือนเดิมอีกต่อไป หากแต่กำลังถูกท้าทายโดยทองคำและสินทรัพย์ทางเลือกในเวทีโลก
แนวโน้มการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ในฐานะทุนสำรองโลกไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลสะสมจากหลายมิติที่เชื่อมโยงกันทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจหลัก ได้แก่
ในปัจจุบัน แม้ดอลลาร์สหรัฐจะยังไม่เผชิญความเสี่ยงที่จะ “ล่มสลาย” หรือสูญเสียบทบาทเงินสำรองโลกในทันที แต่เพียงการลดการพึ่งพาเล็กน้อยจากประเทศต่าง ๆ ก็อาจเพียงพอที่จะสร้างแรงสะเทือนครั้งใหญ่ต่อรัฐบาลกลางและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้แล้ว
ในความเป็นจริง สหรัฐฯ จำเป็นต้องทำให้โลก “ยังคงต้องการดอลลาร์” อยู่เสมอ เพราะอุปสงค์ดอลลาร์ในระดับโลกนี้คือกลไกหลักที่ค้ำจุนทั้งรัฐบาลและระบบเศรษฐกิจภายใน ความสามารถของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการกู้ยืม ใช้จ่าย และขาดดุลงบประมาณอย่างมหาศาล ล้วนตั้งอยู่บนสถานะพิเศษของดอลลาร์ในฐานะเงินสำรองสากล ซึ่งสร้าง “อุปสงค์เชิงโครงสร้าง” ต่อดอลลาร์และสินทรัพย์ที่อ้างอิงดอลลาร์ ช่วยดูดซับการอัดฉีดเงินของ Fed และประคองค่าเงินให้มั่นคง แม้ภายใต้นโยบายการเงินที่กดดันเงินเฟ้อ
“สถานะของดอลลาร์ในฐานะเงินสำรองหลักของโลก ทำให้สหรัฐฯ สามารถจัดหาเงินทุนเพื่อรองรับการขาดดุลคู่ ทั้งด้านการคลังและการค้าได้ สถานะพิเศษนี้เกิดจากการที่ธนาคารกลางต่างประเทศ เข้าซื้อสินทรัพย์ดอลลาร์มูลค่าหลายล้านล้าน ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรองค์กร และแม้แต่หุ้น แต่หากบทบาทนี้ค่อย ๆ ลดลง ความเสี่ยงก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเช่นกัน”
ดังนั้น แม้ภัยคุกคามจะยังไม่ปรากฏชัดในปัจจุบัน แต่ความเสี่ยงเล็ก ๆ ที่สะสมต่อเนื่องก็อาจขยายตัวจนกลายเป็น “ภูเขาลูกใหญ่” ที่สั่นคลอนเสถียรภาพทั้งของสหรัฐฯ และระบบการเงินโลกได้ในที่สุด เพราะหากโลกต้องการเงินดอลลาร์น้อยลง เงินเหล่านั้นจะไหลกลับเข้าสู่สหรัฐฯ ก่อให้เกิดภาวะเงินดอลลาร์ล้นตลาด ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อภายในประเทศเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก ในกรณีเลวร้ายที่สุด เงินดอลลาร์อาจล่มสลายโดยสิ้นเชิง และนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (hyperinflation) ได้
ที่มา: The Economic Times, FXStreet