เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี แตะที่ 31.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยโดยเฉพาะการส่งออก การท่องเที่ยว และเกษตรกรรมได้รับผลกระทบ เนื่องจากการแข็งค่าทำให้ราคาสินค้าส่งออกแพงขึ้น และการท่องเที่ยวลดลง ขณะที่ภาคเกษตรกรรมประสบปัญหาต้นทุนสูงกว่ารายได้จากการส่งออก
การแข็งค่าของเงินบาทเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ และการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ แม้จะมีข้อดีในด้านการลดดอกเบี้ยจากหนี้ต่างประเทศ แต่ก็สร้างแรงกดดันให้ภาคธุรกิจไทยแข่งขันในตลาดโลกได้ยากขึ้น
หอการค้าไทยเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยควบคุมการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างมีระบบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศและภาคธุรกิจ.
เงินบาทยังคงปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดแตะระดับ 31.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีแรงเทขายดอลลาร์อย่างมากในตลาด โดยมีปัจจัยหลักมาจากความคาดหวังในตลาดการเงินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง และสกุลเงินของประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเงินบาท ก็แข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
นางสาวพิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นประมาณ 7% และยังคงอยู่ในกลุ่มสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในภูมิภาค โดยการเคลื่อนไหวแข็งค่าของสกุลเงินในภูมิภาคและค่าเงินบาทนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากการคาดการณ์ในตลาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจจะมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะถัดไป โดยเฉพาะในการประชุมเดือนกันยายนนี้ที่ตลาดมองว่า FED อาจลดดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% และอาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งในเดือนตุลาคมและธันวาคม
พร้อมกันนี้ ยังมีปัจจัยจากราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้การถือครองทองคำในประเทศไทยที่มีอยู่ในระดับสูง ทำให้มีการขายทองคำออกมาแลกเป็นเงินตราต่างประเทศ และแปลงกลับเป็นเงินบาทเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความต้องการเงินบาทสูงขึ้นและส่งผลให้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่ค้าในภูมิภาค
นอกจากนี้ ธปท. ยังระบุว่า สถานการณ์ในตลาดการเงินยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและจะเข้าไปดูแลความผันผวนของค่าเงิน เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน โดยธปท. ได้พิจารณามาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบจากราคาทองคำและการแข็งค่าของเงินบาทต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการส่งออก และการท่องเที่ยว
แรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาทกระทบภาคธุรกิจหนัก
แม้ว่าเงินบาทที่แข็งค่าจะเป็นสัญญาณบวกในแง่ของการลดอัตราภาระดอกเบี้ยในการชำระหนี้ต่างประเทศ และการออมเงินในรูปของเงินบาทที่เพิ่มขึ้น แต่ในมุมของภาคธุรกิจ อย่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนอย่างหนัก โดยเฉพาะภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
1. ภาคการส่งออก
การแข็งค่าของเงินบาททำให้ราคาสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศมีราคาสูงขึ้น ทำให้การส่งออกสินค้าของไทยไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ส่งผลให้ยอดขายลดลง และรายได้จากการส่งออกลดต่ำลง ซึ่งทำให้ธุรกิจส่งออกต่างๆ ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ยากลำบาก
2. ภาคการท่องเที่ยว
การที่เงินบาทแข็งค่าทำให้ต้นทุนการท่องเที่ยวในประเทศไทยสูงขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้เกิดการลดลงของจำนวนการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เนื่องจากนักท่องเที่ยวอาจมองว่าการเดินทางมาไทยมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป
3. ภาคเกษตรกรรม
เกษตรกรไทยที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าทางการเกษตรก็ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยเฉพาะสินค้าประเภทข้าวนาปี และพืชไร่ที่กำลังจะออกผลผลิต เพราะต้นทุนการผลิตไม่สอดคล้องกับรายได้ที่ได้รับจากการส่งออก ทำให้เกษตรกรต้องเผชิญกับปัญหาผลิตผลล้นตลาดและต้นทุนสูง
ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่น
หอการค้าไทยได้ออกมาให้ความเห็นว่าการแข็งค่าของเงินบาทในขณะนี้มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยทั้งภายในประเทศและปัจจัยภายนอก โดยปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทมาก ได้แก่
นอกจากนี้ยังมี ปัจจัยภายนอกที่ซ้ำเติมความเปราะบาง ได้แก่
มาตรการภาษีตอบโต้ (tariff) ที่หลายประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป กำลังทบทวนหรือพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งจะกระทบความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยและยิ่งซ้ำเติมผลกระทบจากเงินบาทแข็ง
ข้อจำกัดด้านการแทรกแซงค่าเงิน การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปดูแลค่าเงินบาทอย่างเข้มข้นอาจทำให้ไทยถูกเพ่งเล็งว่า “บิดเบือนค่าเงิน” โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับ การเจรจาภาษีการค้าและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย–สหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินอยู่ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องวางนโยบายอย่างรอบคอบ
หอการค้าไทยเสนอแนวทางแก้ไข
หอการค้าไทยได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการในการดูแลสถานการณ์เงินบาท โดยเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาการแยกดุลทองคำออกมาให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถประเมินผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของทองคำได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการดูแลและควบคุมการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างเป็นระบบ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการส่งออก และเกษตรกรรม
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย ย้ำว่า “หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ แม้ภาครัฐจะใช้เงินทุนสำรองเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยน ก็อาจต้องใช้เงินจำนวนมากและเสี่ยงต่อการสูญเปล่าโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง”
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงขอเรียกร้องให้ รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย เร่งพิจารณามาตรการที่เหมาะสมอย่างเร่งด่วน เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจจริงและไม่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
“เงินบาทที่แข็งค่าเกินไป ไม่ได้สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย แต่กลับทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เราจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน” ดร.พจน์ กล่าวทิ้งท้าย