เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 77 ปี การสถาปนาประเทศเกาหลีเหนือ หรือที่เรียกกันว่า “วันชาติเกาหลีเหนือ” ซึ่งตรงกับวันที่ 9 กันยายน ในปีนี้ ผู้นำสูงสุด คิม จองอึน เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศจีนหมาด ๆ ไม่กี่วัน หลังไปร่วมงานวันชัยชนะในกรุงปักกิ่ง เพื่อเข้าร่วมพิธีสวนสนามทางทหาร พร้อมพบปะและหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ทำให้เกาหลีเหนือได้รับการอวยพรจากผู้นำแดนมังกรในโอกาสพิเศษของประเทศในปีนี้ด้วย
สำนักข่าว KCNA สื่อทางการของเกาหลีเหนือ อ้างคำพูดของสี จิ้นผิงที่ระบุว่า “ฝ่ายจีนพร้อมที่จะร่วมมือกันส่งเสริมมิตรภาพระหว่างจีนและเกาหลีเหนือและอุดมการณ์สังคมนิยมของทั้งสองประเทศผ่านการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้น และความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับฝ่ายเกาหลีเหนือ” ท่าทีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมีความแน่นแฟ้นมากขึ้น แม้จะจบวาระการเยือนจีนแล้ว แต่กลับมีการแสดงออกถึงไมตรีตามหลังมาอีก
แน่นอนว่าการมีพันธมิตรสุดยิ่งใหญ่อย่างจีน จะทำให้เกาหลีเหนือแข็งแกร่งขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เกาหลีเหนืออาจได้รับประโยชน์จากการเยือนจีนในครั้งมากกว่าที่คิด Spotlight ชวนวิเคราะห์ว่า เกาหลีเหนือได้ประโยชน์อย่างไรบ้างในการเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยสรุปเป็น 4 ประเด็น ดังนี้
ก่อนหน้าที่ผู้นำคิมจะเยือนกรุงปักกิ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเกาหลีเหนืออาจเรียกได้ว่าไม่สู้ดีนัก จุดแตกหักสำคัญเกิดขึ้นเพราะจีนต้องการให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อป้องกันการแข่งขันด้านอาวุธในภูมิภาคที่อาจลุกลามไปถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ นอกจากนี้ โครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือยังทำให้สหรัฐฯ เพิ่มการแสดงตนทางทหารในภูมิภาค ซึ่งจีนมองว่าเป็นภัยคุกคาม
แต่ในการประชุมทวิภาคีระหว่างสองประเทศที่กรุงปักกิ่ง ผู้เชี่ยวชาญมองว่าความต้องการของจีนได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เมื่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไม่มีการกล่าวถึงประเด็น "การปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี" ในถ้อยแถลงใด ๆ เลย อีกทั้งยังกล่าวอ้อม ๆ ว่ารัฐบาลจีนจะวางตัวเป็นกลาง และไม่เข้าไปแทรกแซงประเด็นขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี
ชี ยินหง ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัย Renmin ในปักกิ่ง กล่าวว่า “ในทางปฏิบัติ จีนได้ละทิ้งจุดยืนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีพื้นฐานกับเกาหลีเหนือ ความพยายามที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์นั้นทำไม่ได้แล้ว เพราะจะนำไปสู่การล่มสลายของความสัมพันธ์จีน-เกาหลีเหนือ”
หลังจากกลับมาจากปักกิ่งได้ไม่กี่วัน ผู้นำคิม จองอึนได้ตรวจสอบการทดสอบภาคพื้นดินและได้ชมการทดสอบเครื่องยนต์จรวดแรงขับสูงรุ่นใหม่ของเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้เปียงยางทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) รุ่นใหม่ล่าสุด นับเป็นการเคลื่อนไหวที่ยืนยันว่าเกาหลีเหนือสามารถเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้โดยไม่ต้องเกรงใจพี่ใหญ่ในภูมิภาคเอเชียอีกต่อไป
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการเยือนปักกิ่งของผู้นำคิม จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับจีน ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวกำลังเสื่อมถอยลงหลังจากที่คิมสร้างสัมพันธ์กับรัสเซีย และจะช่วยให้รัฐบาลเปียงยางได้รับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเมื่อเผชิญกับการคว่ำบาตรที่ยังคงดำเนินอยู่ในขณะนี้ และพร้อมจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นอีกทุกเมื่อ
แรงผลักดันที่ซ่อนเร้นเบื้องหลังการประชุมสุดยอดครั้งนี้ คือความต้องการของเกาหลีเหนือที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับจีนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงและการขาดดุลการค้า เจ้าหน้าที่รัฐบาลเกาหลีกล่าวว่า ราคาข้าวในตลาดเกาหลีเหนือพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยราคาข้าวพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สถานการณ์เลวร้ายมาก อุปทานข้าวไม่เพียงพอต่อความต้องการเลย
แม้จะไม่มีการประกาศข้อตกลงทางการค้าใหม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า การเยือนปักกิ่งครั้งนี้อาจช่วย ฟื้นฟูความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีมาก่อนหน้านี้ ที่ตกลงกันไว้เมื่อการประชุมสุดยอดปี 2019 เดิมทีถูกระงับไว้เนื่องจากเกาหลีเหนือปิดพรมแดนในช่วงการระบาดของโควิด-19 หลังจากการประชุมสุดยอดครั้งนั้น จีนได้จัดหาอาหารให้เกาหลีเหนือจำนวน 600,000 ถึง 700,000 ตัน และปุ๋ยอีก 200,000 ถึง 300,000 ตัน
นอกจากนี้ หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้และผู้สังเกตการณ์เชื่อว่า เกาหลีเหนือน่าจะยื่นข้อเรียกร้องสำคัญหลายประการต่อจีนในการประชุมสุดยอดเมื่อวันพฤหัสบดี ได้แก่ การเพิ่มโควตาแรงงานชาวเกาหลีเหนือที่ส่งไปจีน การกลับมาจัดทัวร์หมู่คณะสำหรับพลเมืองจีนในเกาหลีเหนืออีกครั้ง และการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติต่อเกาหลีเหนือ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจต่อเกาหลีเหนือ
South China Morning Post เขียนบทความวิเคราะห์ว่า การร่วมงานของคิม จองอึน เคียงข้างและสนิทสนมกับทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน พร้อมผู้นำชาติพันธมิตรที่ได้รับเชิญ นับเป็นการเปลี่ยนสถานะ จากผู้นำของประเทศที่อยู่นอกสมาคมและความร่วมมือต่าง ๆ ในเวทีโลก กลายเป็นมาเป็นประเทศที่เทียบเคียงกับมหาอำนาจอย่างจีน ถือเป็นความสำเร็จทางการทูตครั้งยิ่งใหญ่ของเกาหลีเหนือ
การปรากฏตัวที่ปักกิ่งพร้อมกับสี จิ้นผิงและปูติน ถือเป็นจุดสุดยอดของกลยุทธ์การรุกคืบของคิม ประชาคมโลกไม่อาจมองข้ามเขาในฐานะผู้นำของรัฐนอกกฎหมายที่ไร้ความสำคัญได้อีกต่อไป
หลังจากที่ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือมีบทบาทในเวทีโลก กระทบไหล่สี จิ้ผิงและปูตินบ่อยขึ้นในช่วงนี้ ก็เรียกได้ว่า เกาหลีเหนือ “เนื้อหอมขึ้น” อย่างเห็นได้ชัด สำนักข่าวยอนฮัพ รายงานว่า พล.อ.เลือง เกือง ประธานาธิบดีเวียดนาม ได้ส่งข้อความแสดงความยินดีถึงผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน ก่อนถึงวันชาติเกาหลี โดยแสดงความปรารถนาที่จะพบปะเป็นการส่วนตัว "โดยเร็วที่สุด"
พล.อ.เลือง เกือง แถลงว่า เวียดนามหวังว่าความร่วมมือระหว่างสองประเทศจะสามารถพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ โดยสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชน อันจะนำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคและโลก” เขายังกล่าวว่า “ผมหวังว่าจะได้พบคุณโดยเร็วที่สุดนะ เพื่อน”
ผู้นำเกาหลีเหนือคิม จองอึนให้คำมั่นว่า จะให้ความช่วยเหลือมอสโก "ทุกวิถีทาง" ในการทำสงครามกับยูเครนในระหว่างการเจรจากับประธานาธิบดีรัสเซียวลาดิมีร์ ปูตินที่กรุงปักกิ่ง
ในการประชุมทวิภาคีนานกว่า 2 ชั่วโมง คิมกล่าวกับปูตินว่า “ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถทำเพื่อคุณและชาวรัสเซียได้ ผมจะถือว่าเป็นหน้าที่ของพี่น้อง เป็นภาระผูกพันที่เราต้องแบกรับ และจะเตรียมพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ” หลังจากนั้น คิมกล่าวว่า "เจอกันเร็วๆ นี้" และกอดลาปูติน ส่วนผู้นำรัสเซียตอบว่า "พวกเรารอคุณอยู่ แวะมาเยี่ยมเราหน่อย"
เกาหลีเหนือกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของรัสเซียนับตั้งแต่ประเทศรุกรานยูเครนในปี 2022 รัฐบาลเปียงยางได้ส่งอาวุธต่าง ๆ รวมถึงกระสุนปืนใหญ่และขีปนาวุธไปยังรัสเซียเพื่อใช้ในสงคราม ที่สำคัญ ยังเปิดเผยว่า รัฐบาลได้ส่งทหารหลายพันนายไปสู้รบในภูมิภาคเคิร์สค์ของรัสเซีย แม้ว่าจะปฏิเสธในตอนแรกก็ตาม แต่หลังจากนั้น เกาหลีเหนือและรัสเซียต่างขอบคุณกันและกันในเรื่องการส่งความช่วยเหลือและการจ่ายค่าตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งผู้นำคิม จองอึน ยังทำพิธีสดุดีทหารที่สละชีพในสงครามรัสเซียด้วย
ความสัมพันธ์ของรัสเซียและเกาหลีเหนือแน่นแฟ้นขึ้น หลังจากที่ทั้งสองประเทศได้ลงนามข้อตกลงซึ่งทั้งสองฝ่ายมีข้อผูกพันที่จะต้องให้ "ความช่วยเหลือทางทหารและความช่วยเหลืออื่น ๆ " ในกรณีที่อีกฝ่ายถูกโจมตี และความเคลื่อนไหวของพวกเขาในกรุงปักกิ่งครั้งนี้ ยิ่งตอกย้ำว่าปูตินและคิม จองอึนสนิทกันมากแค่ไหน