Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
KKP Research ฉายภาพวิกฤต หาก 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยดับ GDP โต 2%
โดย : พลวัฒน์ รินทะมาตย์

KKP Research ฉายภาพวิกฤต หาก 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยดับ GDP โต 2%

17 พ.ค. 68
12:45 น.
แชร์

Highlight

ไฮไลต์

เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยมีแรงส่งหลักจาก 3 ภาคเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว และภาคเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันเครื่องยนต์ทั้งสามนี้กำลังชะลอตัวลงพร้อมกัน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความท้าทายครั้งใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยมีแรงส่งหลักจาก 3 ภาคเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว และภาคเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันเครื่องยนต์ทั้งสามนี้กำลังชะลอตัวลงพร้อมกัน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความท้าทายครั้งใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน

KKP Research ได้ปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 เหลือ 1.7% จากเดิม 2.3% โดยสะท้อนผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่มีผลต่อการส่งออก การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนที่ส่งผลต่อการตัดสินใจบริโภคและลงทุนภายในประเทศ

อย่างไรก็ดี หากมองภาพระยะยาว การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่เป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ไม่ฟื้นตัวตามเวลา รวมถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด กระทบต่อเศรษฐกิจและทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่คาดการณ์

เมื่อไม่นับรวมภาคการท่องเที่ยวซึ่งได้รับแรงหนุนหลักหลังโควิด-19 เศรษฐกิจไทยในส่วนอื่น ๆ เช่น ภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในประเทศ ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2565 และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวยังไม่ส่งผลต่อเนื่องอย่างเต็มที่

สำหรับปี 2568 เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักทั้งสาม ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตร กำลังชะลอตัวลงพร้อมกัน

  • ภาคการท่องเที่ยวชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมา
  • ภาคอุตสาหกรรมติดลบต่อเนื่อง และได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
  • ภาคเกษตรกรรมมีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะการส่งออกข้าวที่ลดลง หลังอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวได้

ผลกระทบเหล่านี้ส่งผลให้รายได้ในประเทศลดลง ส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนโดยรวม


ผลกระทบจากสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลก

การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าโลกส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทย แม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะยกเว้นภาษีตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2568 และ 2569

KKP Research คาดว่าภาษีที่สหรัฐฯ เก็บกับไทยจะคงอยู่ที่ระดับ 10% ตลอดปี และจีนมีแนวโน้มลดภาษีบ้างแต่ยังสูงกว่าประเทศอื่น ๆ โดยผลกระทบจะเกิดผ่าน

  • ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ
  • การให้ข้อแลกเปลี่ยนเปิดตลาดสินค้าบางกลุ่มกับสหรัฐฯ
  • ผลกระทบทางอ้อมจากภาวะการค้าโลกและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ อาจทำให้ GDP ติดลบ 0.15% ภายใน 9 เดือน โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แม้ว่าจะมีการยกเว้นภาษีชั่วคราวในบางรายการ

การเจรจาทางการค้าอาจต้องมีข้อแลกเปลี่ยน เช่น ไทยจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งแม้จะมีต้นทุนทางเศรษฐกิจต่ำ แต่หากสหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยเปิดตลาดภาคเกษตรมากขึ้น โดยเฉพาะหมู เนื้อวัว และนม ซึ่งไทยยังเก็บภาษีสูงและมีมาตรการไม่ใช่ภาษีจำนวนมาก การเปิดตลาดอาจสร้างความท้าทายทั้งเศรษฐกิจและการเมือง

นอกจากนี้ อาจมีข้อเรียกร้องให้ไทยเข้มงวดเรื่องการส่งสินค้าจากจีนผ่านไทย (transshipment) ซึ่งเสี่ยงต่อความสัมพันธ์กับจีน แต่ไทยสามารถใช้โอกาสนี้ส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และพัฒนาโซ่อุปทานในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น

เศรษฐกิจไทยยังเปราะบางต่อวัฏจักรเศรษฐกิจโลก โดยทุกๆ 1% การลดลงของ GDP โลก จะทำให้ GDP ไทยลดลงประมาณ 0.6% ปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป จะกระทบราว 0.2% ต่อ GDP ไทย

ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน และหากความไม่แน่นอนยืดเยื้อ อาจทำให้ GDP ไตรมาส 2 ปี 2568 ลดลง 0.1% และขยายวงกว้างมากขึ้น หากการเจรจาล้มเหลวและสหรัฐฯ กลับมาเรียกเก็บภาษี 36% หลังครบกำหนดผ่อนผัน เศรษฐกิจไทยอาจโตต่ำสุดเพียง 0.9%

เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องมายาวนาน โดยมีแรงส่งสำคัญที่ผลักดันเศรษฐกิจในแต่ละยุคสมัยแตกต่างกันไป ตั้งแต่ยุคทองของการส่งออกก่อนปี 2012 จนถึงช่วงหลังโควิด-19 ที่ภาคการท่องเที่ยวกลายเป็นกำลังหลัก แต่ปัจจุบันความท้าทายครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้น เมื่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักทั้ง 3 ดับพร้อมกัน นั่นคือ ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ โดยเฉพาะท่องเที่ยว และภาคเกษตรกรรม

มองย้อนอดีต…แรงส่งเศรษฐกิจไทยในแต่ละยุค

หลังวิกฤตปี 1997 จนถึงปี 2012 ภาคอุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างโดดเด่น และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก ขณะที่ภาคท่องเที่ยวขยายตัวในระดับหนึ่ง เศรษฐกิจไทยช่วงนี้โตเฉลี่ย 5.0% ต่อปี

หลังปี 2012 จนถึงก่อนโควิด-19 ภาคอุตสาหกรรมเริ่มชะลอตัว แต่ยังขยายตัวได้บ้าง ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวเริ่มก้าวขึ้นมาเป็นแรงส่งใหม่ของเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในช่วงนี้โตเฉลี่ย 3.0%

หลังโควิด-19 เป็นต้นมา การเติบโตของเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี เนื่องจากฐานต่ำ ตัวเลขการเติบโตจึงดูสูง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมติดลบ ส่งผลให้เศรษฐกิจโตเฉลี่ยเพียง 2.2%


เครื่องยนต์เศรษฐกิจทั้ง 3 ดับพร้อมกันในปี 2025

ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงพร้อมกันในสามภาคหลัก ได้แก่

  • ภาคอุตสาหกรรม ที่ติดลบอยู่แล้ว และได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า (Trade War)
  • ภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ที่จะเริ่มไม่ขยายตัว เพราะฐานกลับเข้าสู่ระดับใกล้ปกติ
  • ภาคเกษตรกรรม ซึ่งมีขนาดเล็ก ไม่สามารถเป็นแรงส่งได้ และยังเผชิญความท้าทายด้านผลิตภาพและการแข่งขันที่ต่ำต่อเนื่อง

KKP Research ประเมินว่า ภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคตเป็นเรื่องยากที่จะกลับไปแตะระดับ 3% เหมือนช่วงก่อนโควิด

ทางเลือกและความเป็นไปได้ของเศรษฐกิจไทย

เพื่อรักษาการเติบโตให้ใกล้เคียง 3% ไทยต้องเลือกทางเดินใดทางเดินหนึ่ง หรือผสมผสานระหว่างทางเลือกเหล่านี้

1. ภาคการท่องเที่ยวต้องเติบโตแบบก้าวกระโดด

ภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว หมายความว่าการท่องเที่ยวต้องขยายตัวปีละ 7–10 ล้านคน เหมือนช่วงที่จีนเริ่มเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยครั้งแรก หรือมีนักท่องเที่ยวถึง 70 ล้านคนในปี 2030 เพื่อชดเชยแรงส่งที่หายไปจากภาคอุตสาหกรรม
แต่ในสภาพปัจจุบันที่การท่องเที่ยวเริ่มไม่ขยายตัว และนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มใหญ่เริ่มชะลอ KKP Research ประเมินว่าการหวังพึ่งพาภาคท่องเที่ยวอย่างเดียวทำได้ยากมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งในภูมิภาคอย่างญี่ปุ่น มาเลเซีย และเวียดนาม กำลังดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

2. ภาคอุตสาหกรรมต้องฟื้นกลับมาอย่างแข็งแกร่ง

หากต้องการให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนแทนท่องเที่ยว ภาคการผลิตต้องกลับไปเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% เหมือนช่วงปี 2000
อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมหลังโควิดโตเฉลี่ย -0.59% ต่อปี และตั้งแต่ปลายปี 2022 ยังอยู่ในแดนลบ พร้อมอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำ
KKP Research ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะภาคยานยนต์ที่ยังเผชิญแรงกดดันจากกำลังซื้อในประเทศที่ลดลง และการแข่งขันจากจีน
ในระยะยาวยอดขายยานยนต์ไทยถูกประเมินว่าจะอยู่ในทิศทางขาลงตามโครงสร้างประชากร

3. ภาคเกษตรกรรมไม่สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก

ภาคเกษตรกรรมมีขนาดเล็กเกินไป และเผชิญข้อจำกัดด้านผลิตภาพและการแข่งขันที่รุนแรง
ผลผลิตข้าวไทยเฉลี่ย 495 กิโลกรัมต่อไร่ ต่ำกว่าของเวียดนามที่ 931 กิโลกรัมต่อไร่
การขาดการลงทุนในเทคโนโลยีและการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ทำให้เกษตรกรไทยไม่สามารถเพิ่มผลิตภาพและลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สินค้าเกษตรไทยยังมีมูลค่าเพิ่มต่ำและไม่สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดส่งออกโลกได้ในระยะยาว


ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ที่ภายนอก แต่ภายในก็เปราะบาง

เศรษฐกิจในประเทศของไทยเองก็อยู่ในภาวะเปราะบาง
สินเชื่อภาคธนาคารแย่ลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ หนี้เสียเพิ่มขึ้นในกลุ่มรายย่อยและ SME
หนี้ครัวเรือนสูงทำให้งบดุลครัวเรือนอ่อนแอและมีความเสี่ยงเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันไม่ผ่อนคลาย ไม่สนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อ
การลดดอกเบี้ยของธนาคารเพื่อจูงใจสินเชื่ออาจไม่เพียงพอ เพราะมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงเครดิตและการผิดนัดชำระ

ผลที่ตามมาคือ การบริโภคสินค้าคงทน เช่น ตลาดบ้านและรถยนต์ หดตัวหนักตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะหดตัวต่อเนื่องในปีนี้
โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการบริโภคลดลง เพราะผู้สูงอายุมีแนวโน้มบริโภคน้อยกว่าคนทั่วไป

บทสรุป ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

เมื่อแรงส่งหลักทั้ง 3 ดับลงพร้อมกัน ทั้งภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่ต้องเร่งหาทางออก
นโยบายเศรษฐกิจต้องเปลี่ยนแปลง เชิงนโยบายใหม่ที่ไม่ยึดติดกับแนวทางเดิม
ควรเน้นทั้งการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ การพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจ และการเสริมศักยภาพแรงงานและนวัตกรรม
หากไม่เร่งแก้ไข ผลกระทบเชิงลบอาจลากยาว ส่งผลต่อการเติบโตของไทยในระยะยาว

แชร์
KKP Research ฉายภาพวิกฤต หาก 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยดับ GDP โต 2%