Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
อนุทินพบ ส.อ.ท. หารือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้านเอกชนฝากการบ้าน 5 ข้อ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

อนุทินพบ ส.อ.ท. หารือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้านเอกชนฝากการบ้าน 5 ข้อ

15 ก.ย. 68
16:51 น.
แชร์

หลังเปิดตัวว่าที่รัฐมนตรีรัฐบาลอนุทิน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสังคม โดยเฉพาะทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนนอก วันนี้ (15 กันยายน 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี นำทีมเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ประชุมหารือแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ณ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายสุชาติ ชมกลิ่น รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่าที่รองนายกฯและว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายธนกร วังบุญคงชนะ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล และนายอนุทิน ชาญวีรกูล

ชูภาคเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศ

นายอนุทินกล่าวเปิดการประชุมว่า การหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในวันนี้เกิดขึ้นด้วยความเล็งเห็นว่ารัฐบาลกับผู้นำทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องทำงานคู่กัน แยกกันไม่ได้ เพราะต้องให้ภาคเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศไทยรวมถึงขับเคลื่อนความมั่นคงแข็งแกร่งของประเทศมิติอื่นๆ เพราะหากเศรษฐกิจดี คุณภาพชีวิตก็จะดี และสังคมก็จะมีความสงบสุข วันนี้จึงตั้งใจมารับฟังทั้งข้อกังวลและข้อเสนอแนะจากสภาอุตสาหกรรมฯ

“ในการประชุมสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเราได้ประชุมแนวทางการร่างแถลงนโยบายของรัฐบาล เพราะเวลามีจำกัดจึงพยายามจะทำทุกอย่าง ถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าทำงานอย่างเต็มตัว ฉะนั้น ก็จะทำทุกอย่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งสไตล์ของพวกเรา ทุกคนก็คงทราบดีว่าต้องทำงานเร็วตามที่ทุกท่านคาดหวังไว้ นโยบายของรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้น และการวางรากฐานเพื่อการต่อยอดในระยะยาว ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือของทุกคน”

ไม่เปิดด่านไทย-กัมพูชาในเร็วๆ นี้ 

จากนั้น นายกฯกล่าวถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาในฐานะปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องให้ความสำคัญในการแก้ไข แต่ยืนยันว่าจะยังไม่เปิดด่านในเร็วๆ นี้ 

“ส่วนปัญหาเฉพาะหน้านั้น เราต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะถือเป็นหนึ่งในปัญหาของผู้ประกอบการ ซึ่งมีการค้าขายกันอยู่ แต่ด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาถึงปัจจุบัน และเงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ รวมถึงการที่เราจะต้องรักษาอธิปไตยและเกียรติภูมิของประเทศไทย การเปิดด่านอาจจะยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น ก่อนที่จะมีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น ต้องมีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เราเป็นผู้กำหนด เพราะเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน จะได้ไม่มีความกังวลใดๆ อีก แต่อย่างไรก็ตาม เราต้องใช้ทุกวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทหาร ทางการทูต และการที่เราจะต้องหารือกับฝ่ายกัมพูชา ดังนั้น เราจะใช้ทุกๆ องคาพยพที่มีอยู่นำมาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของทั้งสองประเทศโดยเร็วที่สุด ในขณะที่เราก็มีหลักของความเป็นประเทศไทยอยู่ที่เราต้องรักษาเอาไว้” 

เน้นการผลิตในประเทศ-ไม่เป็นแค่ผู้รับจ้างผลิต

นายอนุทินกล่าวอีกว่า ในเรื่องผู้ประกอบการที่อยู่ในโครงการ Thailand Plus One (ฐานการผลิตเสริมจากไทย) ซึ่งตั้งอยู่ในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) ตนมีแนวคิดว่าจะต้องให้จับคู่กับการผลิตในประเทศไทย ไทยต้องให้ความสำคัญกับ Local Content (ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ) และต้องเจรจากับประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย หากควบคุมเรื่อง Local Content ได้ดี ก็จะเป็นโอกาสที่ดี ทำให้ไทยสามารถผลิตสินค้าส่งไปสหรัฐอเมริกาได้ และหากมีปัญหาการผลิตในประเทศ ก็ควรส่งเสริมการลงทุนเพิ่มมากขึ้น

“ตอนนี้ไทยต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น เพราะมีคู่แข่งมากขึ้น เช่น เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในภาคอุตสาหกรรม จึงต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้วยในเรื่องส่งเสริมการลงทุน”  

“ถึงแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่มั่นใจว่าเราจะใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ผลักดันให้ประเทศไทยเติบโตและทำให้ทุกฝ่ายเกิดความคล่องตัวมากขึ้น”  

“ดรีมทีม จะเป็น เรียลทีม ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก เราจะใช้หลักการทำงานเป็นทีม เพื่อพัฒนาประเทศชาติ” นายอนุทินกล่าว 

ส.อ.ท.เสนอ 5 แนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรมระยะเร่งด่วน 

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ชี้ให้เห็นถึงภาพรวมความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมไทยและแนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบาย 4GO ได้แก่ GO Digital & AI (การยกระดับภาคอุตสาหกรรมด้วยดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์), GO Innovation (การสร้างผู้ประกอบการ “จิ๋วแต่แจ๋ว” ด้วยนวัตกรรม), GO Global (การยกระดับห่วงโซ่อุปทานสากลและการขยายสู่ตลาดโลก) และ GO Green (การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์) ซึ่งจะเป็นกลไกหลักในการผลักดันให้อุตสาหกรรมไทยก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก

จากนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. ได้นำเสนอแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรม 5 เรื่องหลักในระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย
1. การเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า 
2. การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs 
3. การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ
4. การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ 
5. การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล

เร่งตั้งหน่วยงานให้คำปรึกษาการคำนวณ RVC รับมือภาษีทรัมป์ 

สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. ได้ชี้แจงว่าปัจจุบันไทยถูกสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีอัตราที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 แต่จะมีการเรียกภาษีอยู่ 2 กรณี คือ 

กรณีที่ 1 สำหรับการเรียกเก็บภาษีอัตราที่ 19% ใช้กับสินค้าที่ตกอยู่ในขอบเขตของมาตรการนี้โดยรวมยกเว้นสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรา 232 เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็กและอลูมิเนียม ทองแดงกึ่งสำเร็จรูป เพราะสินค้ากลุ่มนี้มีกรอบกฎเกณฑ์ต่างหาก 

กรณีที่ 2 เรียกเก็บภาษีอัตราที่ 40% จะบังคับใช้เมื่อสินค้าถูกพิจารณาว่า เกิดจากการสวมสิทธิ์ของประเทศที่สาม หรือมีกรณี transshipment โดยสินค้าในกรณีนี้จะต้องผ่านการตรวจสอบและพิสูจน์โดย U.S. Customs and Border Protection (CBP) ก่อน และหากพบว่ามีการสวมสิทธิ์จริงจะถูกเรียกเก็บอัตรานี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังไม่มีหลักเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (Regional Value Content: RVC) ที่ชัดเจน ภาครัฐจึงต้องติดตามแนวปฏิบัติของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวได้ทัน

ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสหรัฐฯ การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณ RVC ตลอดจนการส่งเสริมผู้ประกอบการในการปรับตัว (Transformation) เพื่อปรับซัพพลายเชน (Supply Chain) ของไทยให้มีความยืดหยุ่นและทันสมัย พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ภาครัฐดำเนินมาตรการเชิงรุกด้านการค้าระหว่างประเทศ กำกับดูแลสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand: MiT)

นายนาวา จันทนสุรคน

ขอ Fast Track ช่วย SME มีสภาพคล่อง-เข้าถึงแหล่งทุน 

ด้านการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. ชี้แจงถึงสถานะความเปราะบางของ SME ไทย ณ เดือนมิถุนายน 2568 ว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในกลุ่ม SME คิดเป็น 243,026 ล้านบาท และยอดหนี้คงค้างรวม (สินเชื่อ SME) คิดเป็น 3,119,525 ล้านบาท  

ดังนั้น ส.อ.ท. จึงนำเสนอแนวทางส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งทุน ภายใต้ “มาตรการ Fast Track เพื่อ SME” ประกอบด้วย โครงการค้ำประกันสินเชื่อฉุกเฉิน (Emergency Credit Guarantee) ที่อนุมัติได้ภายใน 3-7 วัน โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าธรรมเนียมช่วงแรก และเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันสูงกว่าปกติ เช่น 80–100% เพื่อธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อทันทีให้ SME ที่ต้องการสภาพคล่องเร่งด่วน สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME ด่วนพิเศษ 1% ผ่านกองทุนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยให้ธนาคารรัฐเป็นผู้ดำเนินการ และเปิดช่องทางด่วน (Express Lane) สำหรับสินเชื่อวงเงิน 5-10 ล้านบาท รวมทั้งสำหรับ SME ที่อยู่ในระบบภาษี โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน เพื่อเติมสภาพคล่องระยะสั้นให้ SME สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และลดความเสี่ยงที่จะลุกลามเป็น NPL และมาตรการ “Hair Cut” สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้เสีย (NPL) เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ที่เหลือได้และปิดบัญชี รวมทั้งลดปริมาณหนี้เสียในระบบโดยรวม

นายอภิชิต ประสพรัตน์

เสนอปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าลดต้นทุนภาคการผลิต 

ส่วนนายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. ได้เสนอแนวทางการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต โดยเน้นถึงความจำเป็นในการสร้างโครงสร้างค่าไฟที่เป็นธรรม สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และเอื้อต่อการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนพลังงานทางเลือกและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้ภาครัฐเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยราคาที่เป็นธรรม และมีความมั่นคงด้านพลังงาน 

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ปรับโครงสร้างการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนส่วนเกินที่ไม่จำเป็นและส่งเสริมการเปิดเสรีไฟฟ้า รวมทั้งปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีประวัติการชำระตามกำหนด เพื่อบรรเทาภาระด้านการเงิน และเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

ขอมาตรการเยียวยาผลกระทบปิดด่าน 

ขณะที่ นายเวทิต โชควัฒนา รองประธาน ส.อ.ท. ได้สะท้อนปัญหาการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน ระยะสั้นและระยะยาว ทั้งในด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า การแก้ไขปัญหาด่านศุลกากร รวมถึงการเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อสร้างความชัดเจนในกฎระเบียบการค้าชายแดน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับระยะเร่งด่วน ควรมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายด้านการโลจิสติกส์ให้แก่ผู้ประกอบการ ผ่านการเสริมช่องทางโลจิสติกส์เดิม การเพิ่มเรือชายฝั่งในการส่งสินค้า เข้าในช่องทางที่ไม่ใช่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดกัน เช่น จันทบุรี และตราด และการพิจารณาอนุญาตให้ส่งออกและนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ที่จะนำไปเข้าสู่กระบวนการผลิตใน Supply Chain ได้ในด่านที่ไม่มีความขัดแย้ง รวมทั้งการเยียวยาผู้ประกอบการที่ต้องขนส่งในช่วงที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้ง โดยขอให้นำค่าขนส่งที่ชัดเจน มาใช้หักค่าใช้จ่ายเป็น 2 เท่าได้ 

สำหรับระยะสั้น เสนอแนะให้พิจารณา Soft Loan ให้ผู้ประกอบการเพื่อรักษาสภาพคล่องของกลุ่ม SME ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา หรือผู้ที่มีหลักฐานการค้าขายต่อเนื่องกับกัมพูชา เพิ่มเติมจากมาตรการที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ออกมา รวมทั้งขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พิจารณาให้สิทธิประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Supply Chain ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เพื่อจูงใจให้มีการลงทุนในไทยสำหรับชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากกัมพูชา 

ในส่วนของมาตรการระยะยาว พิจารณาตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่จะให้ทั้งสองประเทศกลับมาทำการค้าร่วมกัน และมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมาย สร้างความเจริญเติบโตร่วมกันให้กับภูมิภาค 

นายเวทิต โชควัฒนา

เร่งแก้เงินบาทแข็ง กังวลกระทบส่งออก

นอกจากนี้ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. ยังได้สะท้อนความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยได้เสนอให้ภาครัฐเร่งศึกษาและแยกแยะผลกระทบจากธุรกรรมทองคำ คริปโตเคอร์เรนซี และการโอนเงินแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านระบบ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน 

พร้อมทั้งเสนอให้ส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าระหว่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 และสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น FX Options และ Forward Contract ด้วยมาตรการช่วยลดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเบื้องต้น

ส.อ.ท.ประกาศหนุนรัฐบาลเต็มที่ 

สำหรับกลไกความร่วมมือในอนาคต ส.อ.ท. เห็นควรให้ขับเคลื่อนการหารือผ่านคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) และจัดให้มีเวทีระดมความคิดเห็นในประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น มาตรการภาษีสหรัฐฯ การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เป็นรูปธรรม

“การพบปะในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างความร่วมมือเชิงรุกระหว่างภาครัฐและเอกชน โดย ส.อ.ท. พร้อมที่จะสนับสนุนและทำงานเคียงข้างรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทยสู่ความเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืนในอนาคต” นายเกรียงไกร กล่าวทิ้งท้าย 

แชร์
อนุทินพบ ส.อ.ท. หารือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้านเอกชนฝากการบ้าน 5 ข้อ