Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
‘ทอง’ ทำบาทแข็งจริงไหม ผู้ค้าทองคิดอย่างไรกับข้อครหา-ไอเดียเก็บภาษี ?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

‘ทอง’ ทำบาทแข็งจริงไหม ผู้ค้าทองคิดอย่างไรกับข้อครหา-ไอเดียเก็บภาษี ?

16 ก.ย. 68
14:32 น.
แชร์

ช่วงนี้ข่าว ‘ทองคำ’ ในประเทศไทยร้อนแรงมากเป็นพิเศษ ทั้งเพราะราคาที่พุ่งสูง ทั้งถูกชี้ว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ถูกตั้งคำถามว่าปริมาณการส่งออกทองคำไปกัมพูชาเพิ่มสูงอาจมีส่วนทำให้เงินบาทแข็งและเชื่อมโยงกับเงินสีเทาหรือไม่ ตามมาด้วยข่าวล่าสุดที่ว่ากระทรวงการคลังมีแนวคิดจะเก็บภาษีการซื้อขายทองคำออนไลน์ เพื่อลดผลกระทบต่อของราคาทองคำต่อค่าเงินบาท

ทองคำทำให้ค่าเงินบาทแข็งจริงไหม ?
การส่งทองคำไปกัมพูชามากผิดปกติหรือไม่ ? เชื่อมโยงกับเงินสีเทาจริงไหม ? และมีส่วนมากแค่ไหนต่อค่าเงิน ? 
แล้วการเก็บภาษีซื้อขายทองคำจะช่วยแก้ปัญหาจริงหรือ ? 

SPOTLIGHT ชวนคลี่ดูข้อสังเกตและข้อถกเถียงต่างๆ เหล่านี้ และฟังข้อมูลและความคิดเห็นจากฝั่งผู้ค้าทองคำในทุกประเด็นร้อน รวมถึงแนวคิดการเก็บภาษีซื้อขายทองคำผ่านออนไลน์

‘ทองคำ’ ทำบาทแข็ง

ทองคำถูกชี้ว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้เงินบาทแข็ง โดยมีคำอธิบายจากหลายๆ สถาบัน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่อธิบายว่า เนื่องจากไทยถือครองทองคำไว้มาก ทำให้ทิศทางของเงินบาทในบางช่วงได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก โดยเงินบาทมักจะแข็งค่าในช่วงที่ราคาทองคำสูงขึ้น เพราะเมื่อราคาทองสูงขึ้นจะกระตุ้นแรงขายทองคำของคนไทยและร้านค้าทองในไทย ซึ่งทำให้มีแรงขายเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อแลกกลับเป็นเงินบาทตามมา จากความเคลื่อนไหวที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างสูงระหว่างเงินบาทกับทองคำ จึงทำให้ในช่วงนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่าสกุลเงินเอเชียอื่นๆ  

ส่งออกทองคำไปกัมพูชามากผิดปกติ ?

ท่ามกลางความกังวลและผลกระทบจากเงินบาทแข็ง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้เปิดประเด็นใหม่เมื่อวันที่ 11 กันยายนว่า การส่งออกทองคำไปยังกัมพูชามากผิดปกติอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า และตั้งข้อสังเกตถึงความเชื่อมโยงของยอดการส่งออกทองคำกับเงินสีเทา 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการที่ กกร.ได้ตรวจสอบหาสาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งผิดปกติ ซึ่งสวนทางกับพื้นฐานเศรษฐกิจ เบื้องต้นพบความผิดปกติในภาคการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาที่พุ่งสูงผิดปกติ โดยมูลค่าการส่งออก 68,000 ล้านบาท ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ คิดเป็น 28% ของการส่งออกทั้งหมด 

“เราทราบกันดีว่ากัมพูชามีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์อยู่มาก ทำให้ กกร.ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดประเทศไทยจึงส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาสูงกว่าปกติ และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า จนเกิดข้อสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดินหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องติดตามและจับตาอย่างใกล้ชิด” นายเกรียงไกรกล่าว 

ประเด็นร้อนดังกล่าวได้รับการชี้แจงข้อมูลบางส่วนจาก นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร ในวันที่ 12 กันยายนว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชาประมาณ 70,000 ล้านบาท โดยมีการสำแดงเอกสารศุลกากรถูกต้อง

อธิบดีกรมศุลกากรอธิบายต่อว่า ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำและเครื่องประดับอัญมณีในภูมิภาค ทำให้มีการส่งออกทองคำไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่อเนื่องมาหลายปี โดยเฉพาะทองคำที่มีการนำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์แล้วส่งออกต่อไปยังประเทศคู่ค้าในภูมิภาค  

ส่วนข้อกังวลเกี่ยวกับการฟอกเงินหรือเกี่ยวกับธุรกิจสีเทานั้น อธิบดีกรมศุลกากรบอกว่า ต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินเป็นรายกรณี แต่ยืนยันว่ากระบวนการศุลกากรเป็นไปตามปกติ

แนวคิดเก็บภาษีซื้อขายทอง

จากนั้น ในวันที่ 15 กันยายน สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังกำลังหารือแนวทางการเก็บภาษีทองคำแท่งที่ซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์และมีการชำระเงินเป็นเงินบาท เพื่อชะลอภาวะเงินบาทแข็งค่า โดยการเก็บภาษีอาจจะยกเว้นสำหรับทองคำที่ซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซื้อขายในตลาดล่วงหน้า (futures) หรือการซื้อขายจากร้านขายทอง

ทั้งนี้ คาดว่าข่าวดังกล่าวถูกเปิดเผยโดยผู้เกี่ยวข้องกับการหารือที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เชิญสมาคมค้าทองคำเข้าหารือเพื่อพิจารณาแนวทางลดผลกระทบจากการซื้อขายทองคำต่อค่าเงินบาท ในวันที่ 15 กันยายน

ในการหารือดังกล่าว สมาคมค้าทองคำได้เสนอแนวทางที่จะช่วยสนับสนุนการซื้อขายทองคำในประเทศไทยโดยใช้เงินสกุลดอลลาร์มากขึ้น ขณะที่ ธปท.ได้ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการร้านทองในการยกระดับการติดตามการซื้อขายทองคำในสกุลเงินบาท โดยเฉพาะพฤติกรรมของนักลงทุนที่อาจส่งผลต่อค่าเงิน รวมทั้งระมัดระวังไม่ให้ธุรกรรมที่เกิดขึ้นไปที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วย 

ผู้ค้าทองปฏิเสธทุกประเด็น

จาก 3 ประเด็นร้อนข้างต้น SPOTLIGHT ได้สอบถามข้อมูล-ข้อเท็จจริงและความคิดเห็นจาก นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ซึ่งนายกสมาคมค้าทองคำปฏิเสธทุกประเด็น

สำหรับคำอธิบายที่ว่าทองคำเป็นปัจจัยทำให้เงินบาทแข็งนั้น นายกสมาคมผู้ค้าทองคำโต้แย้งว่า ทองคำไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า แต่เงินบาทแข็งเพราะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าส่งผลให้สกุลเงินประเทศอื่นๆ แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นโยบายสงครามการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เศรษฐกิจปั่นป่วน ธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศขายเงินดอลลาร์ออกส่วนหนึ่งแล้วซื้อทองคำแทน ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น 

“ค่าเงินไม่ได้แข็งแค่เงินบาทของไทย แต่เงินทุกประเทศแข็งกันหมด ทองคำไม่เกี่ยว” 

ส่วนประเด็นที่ กรร.ตั้งข้อสังเกตว่าไทยส่งออกทองให้กัมพูชามากผิดปกติ อาจเป็นปัจจัยทำให้เงินบาทแข็งและอาจเชื่อมโยงกับเงินสีเทานั้น จิตติอธิบายว่า ไทยขายทองคำให้กัมพูชาเป็นปกติมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำในภูมิภาค หลายประเทศเพื่อนบ้านซื้อทองจากไทย ส่วนทองที่ขายในประเทศไทยนั้นซื้อมาจากสวิตเซอร์แลนด์ โดยกระบวนการทั้งซื้อและขายใช้เงินดอลลาร์สหรัฐทั้งหมด ไม่มีการใช้เงินบาท 

“กัมพูชาซื้อทองจากไทยโดยจ่ายเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ไม่ใช่เงินบาท ไทยก็ใช้เงินดอลลาร์จ่ายสวิตเซอร์แลนด์ ไม่เกี่ยวกับเงินบาท เงินเข้ามือซ้ายออกมือขวา ผู้ค้าในไทยได้แค่กำไรส่วนต่าง เป็นตัวเลขที่ไม่ได้ทำให้เงินบาทแข็ง ไม่เกี่ยวกับเงินบาทเลย” 

นายกสมาคมค้าทองคำอธิบายต่อว่า การซื้อขายทองด้วยเงินบาทมีแค่การซื้อขายภายในประเทศ การขายให้ต่างประเทศต้องใช้เงินดอลลาร์สหรัฐโดยจ่ายเงินโอนผ่านธนาคาร ไม่มีการแอบจ่ายเงินสด การจ่ายเงินมีเส้นทางที่ตรวจสอบได้ โดยมีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ตรวจสอบ กระทรวงพาณิชย์มีตัวเลขการนำเข้า-ส่งออก กรมศุลกาการก็มีขั้นตอนนำเข้าส่งออกและตัวเลขที่ถูกต้อง และคิดว่าในฝั่งกัมพูชาก็ต้องได้รับอนุญาตนำเข้าจากรัฐบาลกัมพูชาก่อนจึงนำเข้าได้ 

ส่วนปริมาณการขาย นายกสมาคมค้าทองคำชี้แจงว่า ปริมาณการขายทองให้กัมพูชาในปีนี้ไม่ได้เป็นยอดที่มากผิดปกติ เป็นยอดปกติที่ขายในระดับนี้มาเป็นสิบปีแล้ว ในแง่ปริมาณปีที่แล้วส่งออกมากกว่าปีนี้ แต่ปีนี้ราคาทองสูงขึ้น มูลค่าจึงสูงขึ้น 

สำหรับประเด็นที่ว่ากระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวคิดเก็บภาษีซื้อขายทองคำที่ซื้อขายผ่านออนไลน์นั้น นายจิตติแสดงความเห็นว่า “อยากให้เป็นแค่แนวคิด” ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง เพราะจะกระทบต่อสถานะศูนย์กลางการค้าทองคำของภูมิภาค 

“อยากขอให้หน่วยราชการไปศึกษาข้อมูลและทบทวนดีๆ เพราะตอนนี้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำของภูมิภาค ถ้าเก็บภาษีจะทำให้ไทยสูญเสียสถานะศูนย์กลางนี้ไป เพราะภาษีจะทำให้ต้นทุนทองคำสูงขึ้น ตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านกำลังจะช่วงชิงตำแหน่งแชมป์ของไทย ถ้าไทยมีภาษี จะทำให้ค้าขายทองยากขึ้น ศูนย์กลางการค้าทองคำในภูมิภาคจะกลายเป็นของประเทศอื่น ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีๆ” นายกสมาคมค้าทองคำกล่าว

นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตทองอาจไม่ใช่ต้นตอแต่เป็นปลายทาง

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในวันที่ 16 กันยายน ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่การส่งออกทองคำเป็นแค่อาการ แต่ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ? โดยชี้ชวนดูข้อมูลข้อเท็จจริงว่า ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าทองสุทธิ คือ ไทยนำเข้าทองมากกว่าที่ส่งออก และการส่งออกทองไปบางประเทศอาจมีมูลค่าไตรมาสละประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อเทียบกับการนำเข้าทองที่มีมูลค่าสูงกว่าอย่างมากแล้ว แทบจะไม่มีโอกาสทำให้เงินบาทแข็งได้มากขนาดนี้ 

ดร.พิพัฒน์ชวนคิดต่อจากสมมติฐานที่ว่า ‘ทอง’ เป็นอาการปลายทาง แล้วมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าการที่เงินบาทแข็งอาจจะเกิดจากสาเหตุ ดังนี้
1. มีเงินไหลเข้ามาไทยจากต่างประเทศ ผ่านช่องทางที่ตรวจสอบยาก เช่น ตลาดคริปโต เข้ามาในบัญชีของผู้พำนัก (residence) 
2. เงินนี้ (ในข้อ 1) ถูกแปลงเป็นเงินบาท ซึ่งเพิ่มความต้องการ (demand) ต่อเงินบาท ทำบาทแข็ง แต่ธุรกรรมนี้อาจจะไม่ได้ถูกบันทึกในดุลการชำระเงิน (BOP) เพราะดูไม่ออกว่าเป็นธุรกรรมการชำระเงินข้ามพรมแดน (cross border transaction)
3. มีการใช้เงินบาทไปซื้อทองคำ
4. ทองคำถูกส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน เราจึงเห็นการส่งออกทองพุ่ง “สิ่งที่เห็นในสถิติ คือ การส่งออกทอง แต่แรงกดดันบาทแข็งเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นแรกแล้ว” 

อย่างไรก็ตาม ดร.พิพัฒน์ไม่ได้มองข้ามประเด็นเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา โดยระบุว่า เรื่องนี้น่าสงสัยเพราะ ประเทศเพื่อนบ้านของไทย (และอาจจะไทยด้วย) กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจสีเทาไปแล้ว และได้ทิ้งท้ายว่า คำถามที่สำคัญไม่ใช่เพียงว่า “ทำไมส่งออกทองเยอะ ?” แต่คือ “ทองคือปลายทางของเงินจากไหน ?” “เงินบาทแข็งเพราะทองจริงๆ หรือเพราะกระแสเงินที่เรายังไม่สามารถจับได้ ?” 

แชร์
‘ทอง’ ทำบาทแข็งจริงไหม ผู้ค้าทองคิดอย่างไรกับข้อครหา-ไอเดียเก็บภาษี ?