รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและนายกรัฐมนตรีคนใหม่ กำลังเตรียมนำโครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง โดยใช้งบประมาณตั้งต้น 25,000 ล้านบาท จากวงเงินเหลือของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลชุดก่อน การเดินหน้าครั้งนี้ไม่ใช่เพียงมาตรการอัดฉีดกำลังซื้อในระยะสั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงการเมืองว่ารัฐบาลพร้อมทำงานทันที และให้ความสำคัญกับปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นอันดับแรก
การฟื้นโครงการยังสะท้อนถึง “กลยุทธ์เร่งผลงาน” เพื่อบรรลุ 'quick wins' ของรัฐบาลอนุทินในช่วงเวลาเพียง 4 เดือนแรก ก่อนเข้าสู่ปีงบประมาณใหม่และการประเมินผลงานทางการเมือง โครงการที่ประชาชนคุ้นเคยและประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต จึงถูกเลือกเป็นมาตรการนำร่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมือง โดยไม่ต้องรอการจัดสรรงบใหม่ สามารถขับเคลื่อนได้ทันที
สำหรับโครงการ “คนละครึ่ง 2568” มีแนวโน้มจะเริ่มใช้ได้เร็วสุดเดือนตุลาคม 2568 โดยปัจจัยสำคัญคือความเร็วในการแถลงนโยบายและการเข้าปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ หาก ครม. สามารถเข้าทำงานก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2568 (30 กันยายน) จะสามารถใช้งบได้ทันที แต่หากล่าช้าจะต้องไปใช้งบประมาณปี 2569
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า ประชาชนจะได้ใช้สิทธิไม่เกินสองสัปดาห์หลัง ครม. เริ่มทำงาน ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังยืนยันว่ามีวงเงินพร้อมรองรับแล้วราว 25,000 ล้านบาท โดยใช้จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมไว้ สามารถนำมาใช้ได้ทันทีเมื่อมีมติอนุมัติจากรัฐบาลชุดใหม่
หากโครงการเริ่มเดือนตุลาคม 2568 จะใช้งบประมาณปี 2569 ในหมวดงบกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 25,000 ล้านบาท เบื้องต้นกำหนดกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั้งประชาชนทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะได้รับสิทธิร่วมจ่ายในอัตรา 50:50 ส่วนกลุ่มผู้มีรายได้อยู่ในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 11 ล้านคน จะได้รับสิทธิในรูปแบบรัฐช่วย 60% และประชาชนจ่ายเอง 40% เพื่อให้ความช่วยเหลือสอดคล้องกับฐานะทางการเงินของแต่ละกลุ่ม
หากความต้องการเกินกว่าวงเงินที่กำหนดไว้ หรือมีความจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วม รัฐบาลอาจพิจารณาใช้งบกลางเพิ่มเติมจากรายการอื่นมาสนับสนุน โดยมีการประเมินว่า นายกรัฐมนตรีเองก็มีแนวโน้มจะผลักดันให้ขยายวงเงินเกินกว่า 25,000 ล้านบาท หากงบประมาณเอื้ออำนวย
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ย้ำว่า แม้มาตรการนี้ใช้งบจำนวนมาก แต่รัฐบาลจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญอย่างชัดเจน เพื่อให้การใช้เงินก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งต่อการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าและการบริโภค ขณะที่ทีมเศรษฐกิจยังเร่งพิจารณารายละเอียดเชิงปฏิบัติ เช่น ระบบลงทะเบียน เงื่อนไขการใช้สิทธิ และมาตรการกำกับดูแลการใช้จ่าย เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าได้ทันทีหลัง ครม. เข้าทำงาน
โครงการคนละครึ่งรอบใหม่ถูกออกแบบให้มีความแตกต่างจากเฟสที่ผ่านมา โดยเพิ่มมิติด้านภาษีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญ
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง อธิบายว่า การเพิ่มสิทธิในรูปแบบ 60:40 เป็น “กิมมิกใหม่” ของโครงการ ที่มุ่งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ถือเป็นการให้ “รางวัล” แก่ผู้ที่อยู่ในระบบ พร้อมทั้งยังช่วยสร้างฐานข้อมูลผู้เสียภาษีที่ชัดเจนและกว้างขวางขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดเก็บรายได้รัฐในอนาคต
นอกจากนี้ โครงการรอบใหม่นี้ยังขยายสิทธิไปถึงผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ก่อนหน้านี้ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้รับสิทธิ์ ทำให้กลุ่มเปราะบางซึ่งมีจำนวนหลายล้านคนสามารถเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือได้โดยตรง เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการให้โครงการครอบคลุมทุกกลุ่มประชาชน
ปัจจุบัน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีประมาณ 13.5 ล้านราย ที่ผ่านการลงทะเบียนและตรวจสอบคุณสมบัติแล้วทำให้โครงการนี้ครอบคลุมประชากรกลุ่มใหญ่ ทั้งผู้เสียภาษี ผู้มีรายได้ปานกลาง และผู้มีรายได้น้อย โดยคุณสมบัติหลักของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้แก่
ในด้านหลักเกณฑ์การใช้งาน นายลวรณย้ำว่าจะยังคงคล้ายกับโครงการเดิมราว 80-90% เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสน ระบบการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ยังคงเป็นช่องทางหลักเหมือนที่ผ่านมา ร้านค้าที่เคยเข้าร่วมโครงการก็จะสามารถเข้าร่วมได้ต่อเนื่อง และยังมีการพิจารณาเปิดให้ร้านค้าใหม่เข้ามาลงทะเบียนเพิ่มเติม
แม้รายละเอียดปลีกย่อยจะยังอยู่ระหว่างการออกแบบ แต่หลักการสำคัญของโครงการคือการรักษาความต่อเนื่องจากเฟสก่อน ควบคู่กับการสร้างแรงจูงใจใหม่สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี และการขยายสิทธิให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีรายได้น้อยมากขึ้น เพื่อให้มาตรการนี้ตอบโจทย์ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการดูแลสวัสดิการสังคมไปพร้อมกัน
ทั้งนี้ หากอ้างอิงจากโครงการในอดีต มาตรการจะเป็นดังนี้