Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ไขคำตอบ ทำไมฝนตกตอนเลิกงาน?  ฟ้าแกล้งคนจะกลับบ้าน หรือธรรมชาติจัดสรร
โดย : พลวัฒน์ รินทะมาตย์

ไขคำตอบ ทำไมฝนตกตอนเลิกงาน? ฟ้าแกล้งคนจะกลับบ้าน หรือธรรมชาติจัดสรร

10 ก.ย. 68
16:33 น.
แชร์

Highlight

ไฮไลต์

"ฝนเลิกงาน" หรือฝนที่ตกหนักช่วงเย็นระหว่าง 16.00-18.00 น. เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการสะสมความร้อนในเมืองที่ทำให้เกิดการลอยตัวของอากาศและความชื้นขึ้นสู่บรรยากาศจนก่อให้เกิดเมฆฝน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มี "เกาะความร้อนเมือง" และอิทธิพลจากลมมรสุม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ฝนตกหนักขึ้นบ่อยขึ้น ขณะเดียวกันปัญหาการจัดการน้ำในกรุงเทพฯ ยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดน้ำท่วมขังและรถติดหนักในช่วงนี้.

“กรุงเทพฯ…ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว” เปลี่ยนไป เมื่อเข็มนาฬิกาบอกว่าถึงเวลาใกล้เลิกงาน แต่คนกรุงเทพฯ มักจะเจอกับปรากฏการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือ "ฝนเลิกงาน" หรือ "ฝนราชการ" ที่ตกอย่างหนักในช่วงเวลาประมาณ 16.00-18.00 น. ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้การเดินทางกลับบ้านของคนกรุงเทพฯ ต้องชะงักงัน แต่ยังสร้างปัญหาความเครียดจากการจราจรที่ย่ำแย่รถติดหลายชั่วโมงที่ไม่สิ้นสุดและการเดินเปียกฝนท่ามกลาง

แต่คำถามคือ ทำไมฝนถึงตกตอนใกล้ๆ เลิกงาน? และมันเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางธรรมชาติหรือไม่? SPOTLIGHT WORLD พาคุณผู้อ่านไปค้นหาคำตอบจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์และเหตุผลที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ พร้อมชุดข้อมูลจากคุณชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(CEO) ทีมกรุ๊ป และกรรมการสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย

ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกระบวนการทางธรรมชาติที่ส่งผลให้เกิดฝนเลิกงาน

คุณชวลิต จันทรรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร ทีมกรุ๊ป

"ฝนเลิกงาน" วิบากกรรมร่วมของคนกรุงฯ

ฝนที่ตกหนักในช่วงหลังเลิกงานหรือในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ระหว่าง 16.00-18.00 น. นั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่คนกรุงเทพฯ หลายคนคุ้นเคยดีจนเกิดคำว่า "ฝนเลิกงาน" ขึ้นมา ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน (พฤษภาคม-ตุลาคม) ทำให้ถนนกลายเป็นคลองขนาดย่อมๆ และก่อให้เกิดการจราจรติดขัดอย่างหนัก ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางในช่วงเวลานี้เป็นสิ่งที่หลายคนต้องเผชิญ แม้บางครั้งจะกลายเป็นมุกตลกในโซเชียลมีเดีย แต่ในทางกลับกัน มันสร้างความเครียดและภาระให้กับชีวิตคนเมืองไม่น้อย

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อธิบายการเกิดฝนเลิกงาน

ถึงแม้หลายคนจะรู้สึกว่า "ฝนแกล้ง" แต่แท้จริงแล้วปรากฏการณ์นี้สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งพัดพาความชื้นจากทะเลเข้ามาสู่พื้นดิน

  1. สะสมพลังงาน (ช่วงเช้า-บ่าย) ช่วงเช้าถึงบ่าย ดวงอาทิตย์ส่องแสงทำให้พื้นดินและอากาศร้อนขึ้น ความร้อนจะพาไอน้ำและความชื้นจากแหล่งต่างๆ ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
  2. ก่อตัวเป็นเมฆฝน (ช่วงบ่าย) ไอน้ำที่ลอยขึ้นไปจะเย็นตัวและรวมตัวกันเป็นเมฆฝนที่เรียกว่า "คิวมูโลนิมบัส" ซึ่งจะบรรจุน้ำได้จำนวนมาก
  3. ปลดปล่อย (ช่วงเย็น) เมื่ออุณหภูมิในชั้นบรรยากาศลดลง เมฆที่อุ้มน้ำจนเต็มแล้วก็จะปลดปล่อยน้ำออกมาในรูปแบบฝนตกหนัก

"เกาะความร้อนเมือง" และกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองที่มีอิทธิพลจาก "เกาะความร้อนเมือง" (Urban Heat Island) ซึ่งเกิดจากการที่เมืองเต็มไปด้วยตึกสูงและถนนคอนกรีตที่สามารถดูดซับและเก็บความร้อนได้ดี เมื่อความร้อนสะสมในเมืองนี้สูงขึ้นในช่วงบ่ายถึงเย็น กระตุ้นให้เกิดการลอยตัวของอากาศร้อนและความชื้นไปยังชั้นบรรยากาศ ทำให้การก่อตัวของเมฆฝนมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากขึ้น เมื่อรวมกับปริมาณความชื้นมหาศาลในฤดูฝน ก็จะกลายเป็นฝนตกหนักในช่วงเย็น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ

ภาพแสดง เกาะความร้อนเมือง

คุณชวลิต กล่าวว่า เราสามารถเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้ได้กับ "โดมความร้อน" หรือ "ฝาชี" ที่ครอบกรุงเทพฯ ไว้ หากวัดอุณหภูมิจะพบว่าใจกลาง กทม. ร้อนกว่าฝั่งธนบุรี และฝั่งธนบุรีก็ยังร้อนกว่าพื้นที่ถัดออกไปอย่างศาลายา โดมความร้อนนี้คือปัจจัยตั้งต้นที่สำคัญที่สุด

ชวลิต จันทรรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร ทีมกรุ๊ป

"กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีลักษณะเป็นเกาะความร้อน ซึ่งเกิดจากการสะสมความร้อนในพื้นผิวที่เป็นคอนกรีตและวัสดุก่อสร้างต่างๆ ซึ่งจะมีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่โดยรอบ ทำให้เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างพื้นผิวเมืองและชั้นบรรยากาศ และทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของอากาศร้อนที่ส่งผลให้เมฆฝนก่อตัวขึ้น" คุณชวลิต กล่าว

แล้วฝนมาจากไหน?

เมื่อมีความร้อนสะสมแล้ว ก็ต้องมีความชื้นเข้ามาปะทะจึงจะเกิดเป็นฝนได้ ซึ่งกลุ่มฝนที่เคลื่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ มาจาก 3 แหล่งหลักได้แก่

  • ทะเลอันดามัน (แหล่งหลักในฤดูมรสุม) ทิศทางนี้เป็นทิศทางหลักของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ กลุ่มเมฆที่มีความชื้นสูงจากทะเลอันดามันซึ่งเชื่อมต่อกับมหาสมุทรอินเดีย จะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่เมียนมา ข้ามเทือกเขาตะนาวศรีมายังจังหวัดราชบุรี และผ่านนครปฐม สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ก่อนจะเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อกลุ่มความชื้นปริมาณมหาศาลนี้มาปะทะกับโดมความร้อนที่อุณหภูมิสูงในช่วงบ่ายถึงค่ำ ก็จะควบแน่นและกลายเป็นฝนตกลงมา หากโดมความร้อนยังไม่ร้อนจัด ฝนก็จะตกเล็กน้อย แต่ถ้าโดมร้อนมาก ฝนก็จะตกหนักมากครับ
  • อ่าวไทย ความชื้นจากการระเหยของน้ำทะเลในอ่าวไทยสามารถก่อตัวเป็นเมฆฝนและเคลื่อนที่มาจากทางตะวันตกเฉียงใต้เช่นกัน โดยจะผ่านพื้นที่อย่างหัวหิน ชะอำ เข้ามาทางสมุทรสาครและสู่ กทม. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอ่าวไทยเป็นทะเลที่ตื้นกว่าอันดามัน ปริมาณความชื้นและปริมาณฝนจากแหล่งนี้จึงมีน้อยกว่า
  • อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เขาใหญ่เป็นผืนป่ามรดกโลกที่มีความอุดมสมบูรณ์ ทำให้มีความชื้นสูงและสามารถก่อตัวเป็นกลุ่มเมฆฝนได้ แต่โดยปกติในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ลมจะพัดเมฆกลุ่มนี้ไปตกทางจังหวัดลพบุรีและสระบุรี แต่ในบางวันที่ลมมรสุมมีกำลังอ่อน กลุ่มเมฆฝนจากเขาใหญ่ก็สามารถเคลื่อนตัวมาตกในพื้นที่ กทม. ได้เช่นกัน


ตัวเร่งคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

คุณชวลิต ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ "Climate Change" มีส่วนสำคัญในการทำให้ฝนที่ตกหนักขึ้นและเกิดบ่อยขึ้น การศึกษาในหลายๆ แห่งพบว่า ปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 7% เมื่อเทียบกับในอดีต นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น "Cloudburst" หรือที่อาจเรียกให้เห็นภาพว่า "Rain Bomb" (ระเบิดฝน) คือการที่เมฆรวมตัวกันอย่างหนาแน่นแล้วเทปริมาณน้ำฝนจำนวนมากลงมาในพื้นที่จำกัดและในเวลาอันสั้น

Rain Bomb หรือ Cloudburst

กลไกของมันคือ เมื่อกลุ่มเมฆฝนที่มีความชื้นสูงและมีลมมรสุมแรงพัดพามาเจอกับโดมความร้อนของ กทม. มันจะถูกยกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ลักษณะนี้เปรียบเสมือนการที่ลมปะทะกับเชิงเขา การยกตัวอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เมฆเกิดการม้วนตัวและรวมกันหนาแน่นยิ่งขึ้นไปอีก ประกอบกับข้อมูลจากงานวิจัยที่ระบุว่าปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยของประเทศไทยสูงกว่าในอดีตประมาณ 7% เมื่อมีปริมาณน้ำมากขึ้นและมีกลไกที่ทำให้เมฆหนาแน่นขึ้น ผลลัพธ์ก็คือฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วงในพื้นที่เดียว

ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ้ำเติมสถานการณ์น้ำท่วม

นอกเหนือจากปริมาณฝนที่ตกหนักขึ้นแล้ว คุณชวลิตชี้ว่า ปัญหาน้ำท่วมขังใน กทม. ยังมีรากฐานมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการจัดการอีกหลายประการ ได้แก่

  • ท่อระบายน้ำขนาดเล็กและทรุดตัว ท่อระบายน้ำริมถนนส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ประกอบกับพื้นที่ กทม. เป็นดินเหนียวอ่อนที่ทรุดตัวง่าย ทำให้ท่อเกิดการทรุดตัวตกเป็น "ท้องช้าง" (ลักษณะแอ่นตรงกลาง) น้ำจึงไม่สามารถไหลตามแรงโน้มถ่วงได้สะดวกและเกิดการขังอยู่กลางท่อ ทำให้ กทม. ต้องติดตั้งเครื่องสูบน้ำช่วยส่งน้ำเป็นทอดๆ เพื่อระบายลงสู่คลอง
  • การอุดตันจากขยะและไขมัน แม้ กทม. จะมีแผนขุดลอกท่อและคูคลองเป็นประจำ แต่ก็สามารถทำได้เพียงปีละประมาณ 7-8% เท่านั้น ทำให้ยังมีจุดที่น้ำท่วมขังรอการแก้ไขอยู่ราว 700 จุด ปัญหาสำคัญคือ ไขมันจากร้านอาหารและครัวเรือน ที่เมื่อไหลลงท่อจะไปจับตัวกับตะกอนและเศษขยะอื่นๆ กลายเป็นก้อนแข็งอุดตันท่อระบายน้ำ
  • การรุกล้ำลำคลอง คลองสายหลักหลายสาย เช่น คลองลาดพร้าว คลองเปรมประชากร ถูกรุกล้ำโดยชุมชนที่สร้างบ้านเรือนขวางทางน้ำมานานหลายสิบปี ทำให้ความสามารถในการระบายน้ำของคลองลดลงอย่างมาก
  • น้ำทะเลหนุนสูง ในช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูง จะดันน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้มีระดับสูงขึ้น ทำให้การระบายน้ำจากคลองต่างๆ ออกสู่แม่น้ำทำได้ช้าลงหรือไม่สามารถระบายได้เลย
  • คันกั้นน้ำไม่สมบูรณ์ (ฟันหลอ) ยังมีจุดที่เป็นช่องว่างตามแนวคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ประมาณ 32 จุด ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงที่น้ำจากแม่น้ำสามารถรั่วไหลเข้ามาในพื้นที่ชั้นในได้
  • ชุมชนนอกคันกั้นน้ำ มี 16 ชุมชนใน กทม. และอีก 30 ชุมชนในนนทบุรีที่ตั้งอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำถาวร ทำให้ประสบปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำวันละ 2 ครั้งตามจังหวะน้ำขึ้น-น้ำลงในช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูง

คุณชวลิต เปิดข้อเสนอสำหรับภาครัฐและผู้กำหนดนโยบาย

  1. บังคับใช้มาตรการบ่อดักไขมัน กทม. และเทศบาลปริมณฑลต้องจริงจังกับการส่งเสริมและบังคับให้ร้านอาหารทุกแห่งติดตั้งบ่อดักไขมัน
  2. บำรุงรักษาเชิงรุก ต้องเร่งซ่อมบำรุงเครื่องสูบน้ำที่ชำรุดให้พร้อมใช้งาน และรีบแก้ไขปัญหาคันกั้นน้ำ "ฟันหลอ" โดยอาจใช้วิธีกระสอบทรายเป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อเตรียมรับมือฝนที่จะหนักขึ้นในเดือนตุลาคม
  3. พัฒนาระบบการสื่อสารเตือนภัย กทม. ควรทำงานร่วมกับสื่อต่างๆ เช่น สถานีโทรทัศน์และวิทยุ เพื่อสร้างช่องทางการเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ สามารถแจ้งเตือนประชาชนได้ล่วงหน้า 1-2 ชั่วโมงก่อนฝนตกหนัก และต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจถึงข้อจำกัดของการพยากรณ์ที่อาจคลาดเคลื่อนได้
  4. บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่รอยต่อจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ยกตัวอย่าง ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทั้ง กทม. (เขตดอนเมือง), เทศบาลนครปากเกร็ด (นนทบุรี) และกรมชลประทาน(ผู้ดูแลสถานีสูบน้ำปลายทาง) ทุกหน่วยงานต้องแชร์ข้อมูลกลุ่มฝนและประสานงานกันเพื่อเร่งระบายน้ำในพื้นที่ของตนเองอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การพร่องน้ำในคลองไปจนถึงการเดินเครื่องสูบน้ำให้ทันท่วงที

“อยากจะให้ กทม. เร่งรัดซ่อมบำรุงเครื่องสูบน้ำให้พร้อมใช้งาน เพราะว่าเดือนตุลาคมอาการมันจะหนักกว่านี้อีกครับ ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับน้ำมากกว่านี้” คุณชวลิต กล่าว

...เมื่อมนุษย์เราเกิดมาอยู่ใต้ฟ้า…ต้องรู้จักปรับตัวให้ได้เมื่อพายุฝนมา

  • เช็คก่อนออก ใช้แอปฯ มือถือเช็คเรดาร์ฝนและสภาพจราจรก่อนออกจากที่ทำงาน เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะลุยเลย หรือรอให้ฝนซาก่อน
  • เตรียมของให้พร้อม พกอุปกรณ์จำเป็นติดตัวเสมอ เช่น ร่ม, เสื้อกันฝน, ถุงกันน้ำสำหรับของมีค่า และรองเท้าแตะสำหรับลุยน้ำ
  • ปรับแผนเดินทาง เมื่อประเมินแล้วว่ารถติดหนักหรือน้ำท่วม ให้เปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า BTS/MRT หรือหาที่นั่งรอพร้อมเครื่องดื่มเย็นๆ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นก่อนเดินทาง

คุณชวลิต ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับปรากฏการณ์ฝนเลิกงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสื่อสารระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการเตรียมการให้พร้อมในการรับมือกับฝนที่อาจจะตกอย่างหนักในช่วงเวลาเลิกงาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการติดตามสภาพอากาศเพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้

ในท้ายที่สุด คำแนะนำสำคัญสำหรับทุกคนคือการลดการใช้รถส่วนตัว เพื่อช่วยลดความแออัดของการจราจรและลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของ "เกาะความร้อนเมือง" ที่ทำให้เกิดฝนตกหนักในช่วงเวลานั้น

การเตรียมตัวรับมือกับ "ฝนเลิกงาน" และเข้าใจถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับมัน ช่วยให้เราปรับตัวและใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

แชร์
ไขคำตอบ ทำไมฝนตกตอนเลิกงาน?  ฟ้าแกล้งคนจะกลับบ้าน หรือธรรมชาติจัดสรร