"ฝนเลิกงาน" หรือฝนที่ตกหนักช่วงเย็นระหว่าง 16.00-18.00 น. เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการสะสมความร้อนในเมืองที่ทำให้เกิดการลอยตัวของอากาศและความชื้นขึ้นสู่บรรยากาศจนก่อให้เกิดเมฆฝน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มี "เกาะความร้อนเมือง" และอิทธิพลจากลมมรสุม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ฝนตกหนักขึ้นบ่อยขึ้น ขณะเดียวกันปัญหาการจัดการน้ำในกรุงเทพฯ ยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดน้ำท่วมขังและรถติดหนักในช่วงนี้.
“กรุงเทพฯ…ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว” เปลี่ยนไป เมื่อเข็มนาฬิกาบอกว่าถึงเวลาใกล้เลิกงาน แต่คนกรุงเทพฯ มักจะเจอกับปรากฏการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือ "ฝนเลิกงาน" หรือ "ฝนราชการ" ที่ตกอย่างหนักในช่วงเวลาประมาณ 16.00-18.00 น. ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้การเดินทางกลับบ้านของคนกรุงเทพฯ ต้องชะงักงัน แต่ยังสร้างปัญหาความเครียดจากการจราจรที่ย่ำแย่รถติดหลายชั่วโมงที่ไม่สิ้นสุดและการเดินเปียกฝนท่ามกลาง
แต่คำถามคือ ทำไมฝนถึงตกตอนใกล้ๆ เลิกงาน? และมันเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางธรรมชาติหรือไม่? SPOTLIGHT WORLD พาคุณผู้อ่านไปค้นหาคำตอบจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์และเหตุผลที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ พร้อมชุดข้อมูลจากคุณชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(CEO) ทีมกรุ๊ป และกรรมการสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย
ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกระบวนการทางธรรมชาติที่ส่งผลให้เกิดฝนเลิกงาน
ฝนที่ตกหนักในช่วงหลังเลิกงานหรือในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ระหว่าง 16.00-18.00 น. นั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่คนกรุงเทพฯ หลายคนคุ้นเคยดีจนเกิดคำว่า "ฝนเลิกงาน" ขึ้นมา ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน (พฤษภาคม-ตุลาคม) ทำให้ถนนกลายเป็นคลองขนาดย่อมๆ และก่อให้เกิดการจราจรติดขัดอย่างหนัก ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางในช่วงเวลานี้เป็นสิ่งที่หลายคนต้องเผชิญ แม้บางครั้งจะกลายเป็นมุกตลกในโซเชียลมีเดีย แต่ในทางกลับกัน มันสร้างความเครียดและภาระให้กับชีวิตคนเมืองไม่น้อย
ถึงแม้หลายคนจะรู้สึกว่า "ฝนแกล้ง" แต่แท้จริงแล้วปรากฏการณ์นี้สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งพัดพาความชื้นจากทะเลเข้ามาสู่พื้นดิน
กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองที่มีอิทธิพลจาก "เกาะความร้อนเมือง" (Urban Heat Island) ซึ่งเกิดจากการที่เมืองเต็มไปด้วยตึกสูงและถนนคอนกรีตที่สามารถดูดซับและเก็บความร้อนได้ดี เมื่อความร้อนสะสมในเมืองนี้สูงขึ้นในช่วงบ่ายถึงเย็น กระตุ้นให้เกิดการลอยตัวของอากาศร้อนและความชื้นไปยังชั้นบรรยากาศ ทำให้การก่อตัวของเมฆฝนมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากขึ้น เมื่อรวมกับปริมาณความชื้นมหาศาลในฤดูฝน ก็จะกลายเป็นฝนตกหนักในช่วงเย็น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ
คุณชวลิต กล่าวว่า เราสามารถเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้ได้กับ "โดมความร้อน" หรือ "ฝาชี" ที่ครอบกรุงเทพฯ ไว้ หากวัดอุณหภูมิจะพบว่าใจกลาง กทม. ร้อนกว่าฝั่งธนบุรี และฝั่งธนบุรีก็ยังร้อนกว่าพื้นที่ถัดออกไปอย่างศาลายา โดมความร้อนนี้คือปัจจัยตั้งต้นที่สำคัญที่สุด
"กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีลักษณะเป็นเกาะความร้อน ซึ่งเกิดจากการสะสมความร้อนในพื้นผิวที่เป็นคอนกรีตและวัสดุก่อสร้างต่างๆ ซึ่งจะมีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่โดยรอบ ทำให้เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างพื้นผิวเมืองและชั้นบรรยากาศ และทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของอากาศร้อนที่ส่งผลให้เมฆฝนก่อตัวขึ้น" คุณชวลิต กล่าว
เมื่อมีความร้อนสะสมแล้ว ก็ต้องมีความชื้นเข้ามาปะทะจึงจะเกิดเป็นฝนได้ ซึ่งกลุ่มฝนที่เคลื่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ มาจาก 3 แหล่งหลักได้แก่
ตัวเร่งคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
คุณชวลิต ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ "Climate Change" มีส่วนสำคัญในการทำให้ฝนที่ตกหนักขึ้นและเกิดบ่อยขึ้น การศึกษาในหลายๆ แห่งพบว่า ปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 7% เมื่อเทียบกับในอดีต นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น "Cloudburst" หรือที่อาจเรียกให้เห็นภาพว่า "Rain Bomb" (ระเบิดฝน) คือการที่เมฆรวมตัวกันอย่างหนาแน่นแล้วเทปริมาณน้ำฝนจำนวนมากลงมาในพื้นที่จำกัดและในเวลาอันสั้น
กลไกของมันคือ เมื่อกลุ่มเมฆฝนที่มีความชื้นสูงและมีลมมรสุมแรงพัดพามาเจอกับโดมความร้อนของ กทม. มันจะถูกยกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ลักษณะนี้เปรียบเสมือนการที่ลมปะทะกับเชิงเขา การยกตัวอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เมฆเกิดการม้วนตัวและรวมกันหนาแน่นยิ่งขึ้นไปอีก ประกอบกับข้อมูลจากงานวิจัยที่ระบุว่าปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยของประเทศไทยสูงกว่าในอดีตประมาณ 7% เมื่อมีปริมาณน้ำมากขึ้นและมีกลไกที่ทำให้เมฆหนาแน่นขึ้น ผลลัพธ์ก็คือฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วงในพื้นที่เดียว
นอกเหนือจากปริมาณฝนที่ตกหนักขึ้นแล้ว คุณชวลิตชี้ว่า ปัญหาน้ำท่วมขังใน กทม. ยังมีรากฐานมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการจัดการอีกหลายประการ ได้แก่
“อยากจะให้ กทม. เร่งรัดซ่อมบำรุงเครื่องสูบน้ำให้พร้อมใช้งาน เพราะว่าเดือนตุลาคมอาการมันจะหนักกว่านี้อีกครับ ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับน้ำมากกว่านี้” คุณชวลิต กล่าว
...เมื่อมนุษย์เราเกิดมาอยู่ใต้ฟ้า…ต้องรู้จักปรับตัวให้ได้เมื่อพายุฝนมา
คุณชวลิต ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับปรากฏการณ์ฝนเลิกงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสื่อสารระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการเตรียมการให้พร้อมในการรับมือกับฝนที่อาจจะตกอย่างหนักในช่วงเวลาเลิกงาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการติดตามสภาพอากาศเพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้
ในท้ายที่สุด คำแนะนำสำคัญสำหรับทุกคนคือการลดการใช้รถส่วนตัว เพื่อช่วยลดความแออัดของการจราจรและลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของ "เกาะความร้อนเมือง" ที่ทำให้เกิดฝนตกหนักในช่วงเวลานั้น
การเตรียมตัวรับมือกับ "ฝนเลิกงาน" และเข้าใจถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับมัน ช่วยให้เราปรับตัวและใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น