
เบเล็ง, บราซิล – ในก้าวสำคัญบนเวทีการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP30) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน บราซิลได้เปิดตัว "แผนปฏิบัติการเบเล็งเพื่อสุขภาพ" (Belém Health Action Plan) ซึ่งนับเป็นเอกสารว่าด้วยการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศฉบับแรกของโลก ที่มุ่งเน้นด้าน "สุขภาพ" โดยเฉพาะ
แผนริเริ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นของภาคส่วนสาธารณสุขในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผ่านการพัฒนาระบบเฝ้าระวัง การสร้างศักยภาพ นวัตกรรม และการกำหนดนโยบายบนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยในเบื้องต้น กลุ่มพันธมิตรองค์กรการกุศลได้ประกาศอัดฉีดเงินลงทุน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนนี้
ในการประชุม "วันแห่งสุขภาพ" (Health Day) ผู้นำจากองค์กรระดับโลกต่างย้ำถึงความเร่งด่วนที่ต้องเชื่อมโยงประเด็นสุขภาพเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ดร.เทดรอส แอดฮานอม ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวย้ำผ่านวิดีโอว่า "วิกฤตสภาพภูมิอากาศคือวิกฤตด้านสุขภาพ" ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบสาธารณสุขของทุกชาติ เขาระบุว่าการปรับตัวด้านสุขภาพนั้นถูกบรรจุไว้ในข้อตกลงปารีสแล้ว และบัดนี้ถึงเวลาที่ต้องนำไปปฏิบัติ
ด้าน ดร.จาร์บาส บาร์โบซา ผู้อำนวยการองค์การอนามัยแพนอเมริกัน (PAHO) ได้ตอกย้ำว่าผลกระทบไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป "เราไม่ได้พูดถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่ภาวะโลกร้อนคือความจริงและกำลังเร่งตัวขึ้น ชุมชนที่เปราะบางที่สุดคือผู้ที่แบกรับภาระหนักที่สุด"
ดร.บาร์โบซา เสนอข้อมูลที่น่าตกใจว่า:
"แผนปฏิบัติการเบเล็งคือก้าวสำคัญ" เขากล่าว "มันทำหน้าที่เป็นแนวทางให้เราสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ทอร์นาโด ไซโคลน และยังช่วยเสริมการฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ด้วย"
บราซิลในฐานะประธาน COP30 ได้แสดงจุดยืนชัดเจนในการผลักดันวาระด้านสุขภาพให้เป็นหัวใจสำคัญ
นายอาเล็กซานเดร ปาดิลยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของบราซิล กล่าวว่า ประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา ได้มอบภารกิจให้บราซิลทำให้ COP30 เป็น "การประชุมแห่งการลงมือทำและความจริง"
"คำตอบของบราซิลชัดเจน: ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนจากการไตร่ตรองเป็นการลงมือทำร่วมกัน เมื่อเผชิญกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว รัฐบาลและนโยบายสาธารณะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปรับตัวและเผชิญหน้า"
รัฐมนตรีปาดิลยาเน้นย้ำว่า "การปรับตัว (Adaptation) ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจังและมีความมุ่งมั่นทางการเมืองเช่นเดียวกับการบรรเทา (Mitigation) สำหรับหลายประเทศ การปรับตัวคือเรื่องของการอยู่รอดในทันที"
ตามข้อมูลจากประธาน COP30 แผนปฏิบัติการเบเล็งนี้ได้ยกระดับบราซิลขึ้นสู่แถวหน้าของการหารือระดับโลก โดย อานา โทนี ซีอีโอของ COP30 กล่าวว่า "การนำระบบสุขภาพถ้วนหน้าของบราซิล (SUS) มาสู่หัวใจของ COP ถือเป็นการยกระดับสุขภาพให้เป็นประเด็นสำคัญ ขณะนี้เรามี 80 ประเทศและพันธมิตรระหว่างประเทศที่เข้าร่วมในแผนปฏิบัติการนี้แล้ว"
แผนปฏิบัติการเบเล็งมีโครงสร้าง 3 เสาหลัก ได้แก่:
การดำเนินการจะอยู่ภายใต้การประสานงานกับ Alliance for Transformative Action on Climate and Health (ATACH) และการกำกับดูแลของ WHO
ในส่วนของเงินทุน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจาก แนวร่วมผู้ให้ทุนด้านสภาพอากาศและสุขภาพ (Climate and Health Funders Coalition) ซึ่งเป็นการรวมตัวขององค์กรการกุศลกว่า 35 แห่ง อาทิ Bloomberg Philanthropies, Gates Foundation, IKEA Foundation, The Rockefeller Foundation และ Wellcome
เงินทุนนี้จะมุ่งเน้นเร่งรัดการแก้ปัญหาเร่งด่วน เช่น ความร้อนสูงจัด มลพิษทางอากาศ และโรคติดเชื้อที่อ่อนไหวต่อสภาพอากาศ รวมถึงการบูรณาข้อมูลสุขภาพเพื่อสร้างระบบที่ยืดหยุ่นและปกป้องชีวิตผู้คน
ไซมอน สตีล เลขาธิการบริหารของ UNFCCC (อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) สรุปทิ้งท้ายว่า "ตอนนี้แผนสุขภาพเบเล็งได้ให้รากฐานแก่เราแล้ว จากนี้ไป เราต้องการความพยายามที่ประสานกัน มีการจัดการที่ดี และมีเงินทุนเพียงพอ เพื่อนำนโยบายเหล่านี้ไปปฏิบัติ"
ที่มา : cop30.br