
ในช่วงที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวในภาคการเงินของไทยได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง ทั้งภาวะค่าเงินบาทแข็งค่าที่ไม่เพียงสร้างแรงกดดันต่อผู้ส่งออกและธุรกิจท่องเที่ยว แต่ยังถูกจับตามองว่าอาจเชื่อมโยงกับการไหลเข้าของ “ทุนเทา” และพฤติกรรมฟอกเงิน และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้มาตรการเข้มเพื่อสกัดการใช้ “บัญชีม้า” ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้สุจริตจำนวนมาก
ในการแถลง “Meet the Press 2/68” ซึ่งถือเป็นเวทีสุดท้ายในตำแหน่งผู้ว่าการ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ได้อธิบายชัดว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามาจากดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง ประกอบกับการซื้อขายและการส่งออกทองคำของไทยที่พุ่งสูง ส่งผลให้มีเม็ดเงินดอลลาร์ไหลกลับเข้ามาและถูกแปลงเป็นเงินบาทในปริมาณมากและรวดเร็ว จนเงินบาทแข็งกว่าหลายประเทศในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ประเด็นว่าการส่งออกทองคำที่สูงผิดปกตินี้เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือไม่ ยังเป็นข้อถกเถียงที่ไม่อาจสรุปได้แน่ชัด
สำหรับมาตรการระงับบัญชีม้า ผู้ว่าฯ ยอมรับว่ากระทบต่อผู้สุจริตบางส่วนจริง แต่ถือเป็นความจำเป็นเพื่อคุ้มครองเหยื่อที่สูญเสียเงินและได้รับความเดือดร้อนรุนแรงกว่า พร้อมเปรียบเปรยว่า การตัดเส้นทางบัญชีม้าเป็นเสมือน “การรักษามะเร็งทางเศรษฐกิจ” ที่อาจทำให้เจ็บปวดบ้าง แต่เป็นการรักษาเพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามจนบ่อนทำลายเสถียรภาพของระบบการเงินไทยในระยะยาว
ผู้ว่าฯ ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งขึ้นแล้วราว 7% ซึ่งถือว่าสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างชัดเจน ทั้งที่เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และไม่สอดคล้องกับหลักการทางเศรษฐศาสตร์ตามตำรา ดร.เศรษฐพุฒิอธิบายว่า ตามทฤษฎีแล้ว ประเทศที่ขึ้นภาษีการค้า (tariff) เพื่อกีดกันการค้า เช่นกรณีของสหรัฐฯ ค่าเงินควรแข็งขึ้น แต่กลับเกิดตรงกันข้าม โดยดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้มาตรการดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศในเอเชียรวมถึงไทยเผชิญกับสถานการณ์ค่าเงินแข็งที่ “ผิดธรรมชาติ”
ปัจจัยที่ซ้ำเติมคือราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากทั้งนักลงทุนและสถาบันการเงินหันมาเก็บทองเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ โดยค่าเงินบาทมีความสัมพันธ์ (correlation) กับราคาทองในระดับสูง ซึ่งปัจจุบันแตะ 0.7 จากที่เคยอยู่ในระดับต่ำกว่ามากในอดีต
เมื่อราคาทองปรับขึ้น ค่าเงินบาทจึงมักแข็งตามทันที กลไกสำคัญเกิดจากพฤติกรรมของผู้ซื้อขายทองในประเทศ คนไทยนิยมถือทองและขายทำกำไรเมื่อราคาทองขึ้น ทำให้ดอลลาร์ที่ได้จากการขายทองถูกนำกลับมาแลกเป็นเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งแรงกว่าประเทศอื่น ผู้ว่าฯ ชี้ว่านี่คือแรงกระทบ “สองเด้ง” คือดอลลาร์อ่อนจากคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด และราคาทองพุ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน
ด้านมาครการควบคุมค่าเงินที่ผ่านมา ดร. เศรษฐพุฒิยืนยันว่าได้มีการดูแลค่าเงินมาตลอด โดยได้มีการดำเนินมาตรการนโยบายการเงิน เช่น การลดดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.5% เหลือ 1.5% แต่ก็ไม่ช่วยชัดเจน เพราะแม้อัตราดอกเบี้ยของไทยต่ำกว่าประเทศรอบข้าง เงินบาทยังแข็งต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธปท. พยายามดูแลค่าเงินไม่ให้ผันผวนรุนแรงเกินไป โดยเฉพาะเพื่อปกป้องผู้ส่งออกและ SMEs ที่ยังทำ hedging น้อย แต่การดูแลทำได้เพียงบรรเทาความแรง ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทาง
นอกจากนี้ ในการประชุมล่าสุดกับสมาคมค้าทองคำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ดร.เศรษฐพุฒิยังยอมรับว่า ธปท. ได้หยิบ “ภาษีทองคำ” มาหารือเป็นหนึ่งในทางเลือกในการลดผลกระทบของการซื้อขายทองต่อค่าเงินบาทตามข่าว แต่ยืนยันว่ายังไม่ใช่ข้อสรุปจริงจัง และอาจต้องหารือมาตรการอื่นควบคู่ เช่น การส่งเสริมให้เทรดทองโดยตรงในดอลลาร์แทนการใช้บาท เพื่อลดแรงกดดัน แม้ผู้ค้าส่วนใหญ่ยังคุ้นเคยกับการใช้เงินบาท ผู้ว่าฯ ย้ำว่าทุกมาตรการต้องหารือร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะตลาดทองของไทยเชื่อมโยงผู้เล่นหลายระดับ
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถามถึงประเด็นที่การส่งออกทองของไทยที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ อาจมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น และอาจเชื่อมโยงกับธุรกรรมผิดกฎหมายที่มีการนำเงินจากต่างประเทศเข้ามาฟอกในไทย แปลงเป็นทองคำ แล้วจึงส่งออกต่อไปต่างประเทศ
ข้อสังเกตนี้เริ่มจากโพสต์เฟซบุ๊กของ ดร. พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ที่ตั้งคำถามว่า การส่งออกทองคำที่ปรากฏในสถิติ อาจเป็นเพียง “อาการ” ไม่ใช่ต้นเหตุของเงินบาทแข็ง การอธิบายว่าเงินบาทแข็งเพราะทองจึงอาจไม่ตรงกับความจริง เพราะไทยยังเป็นผู้นำเข้าทองสุทธิ และมูลค่าการส่งออกเมื่อเทียบกับการนำเข้าก็ยังไม่มากพอจะกดดันค่าเงินได้
ดร. พิพัฒน์ อธิบายว่าแรงกดดันแท้จริงอาจเกิดตั้งแต่ต้นทาง เมื่อมีเงินทุนไหลเข้าผ่านช่องทางที่ตรวจสอบยาก เช่น คริปโตเคอร์เรนซี เงินเหล่านี้ถูกแปลงเป็นเงินบาท ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น ก่อนที่จะนำไปซื้อทองและส่งออกต่อ ผลที่เห็นในสถิติ คือ “การส่งออกทอง” แต่สาเหตุจริงอาจอยู่ที่กระแสเงินทุนก่อนหน้านั้น ปัญหาคือธุรกรรมลักษณะนี้ไม่สะท้อนในดุลการชำระเงิน ขณะที่ Errors & Omissions กลับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณว่ามีเงินเข้าออกที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ อีกทั้งกฎเกณฑ์คริปโตในไทยยังไม่เข้มงวดเทียบเท่าธนาคาร ความเสี่ยงที่เงินบาทแข็งเพราะ inflows ที่ตรวจสอบไม่ได้จึงเป็นสิ่งน่ากังวล
ดร. พิพัฒน์เตือนว่า หากแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการจับตาการส่งออกทองเพียงอย่างเดียว ธุรกิจสุจริตอาจได้รับผลกระทบโดยไม่จำเป็น ขณะที่ต้นตอจริงยังไม่ถูกแตะ เขาเสนอให้เสริมกฎ AML/CFT ในตลาดคริปโต เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และใช้เทคโนโลยีติดตามเส้นทางเงิน เพื่อให้เข้าใจว่าเงินบาทแข็งเพราะทองจริง หรือเพราะเงินทุนที่ยังตรวจสอบไม่ได้กันแน่
ในกรณีนี้ ดร. เศรษฐพุฒิ ระบุว่า การส่งออกทองของไทยไปกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อค่าเงินบาทจริง เพราะเมื่อส่งออกทองได้เงินกลับมาเป็นดอลลาร์ เงินดอลลาร์นั้นจะถูกแปลงเป็นเงินบาท ทำให้เงินบาทแข็งขึ้น และยอมรับว่ามีความผิดปกติในดุลการชำระเงินจริง โดย net errors and omissions ปี 2567 สูงถึง 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใหญ่กว่าดุลรวม (overall balance) ที่ 1.24 หมื่นล้านดอลลาร์ นั่นหมายถึงมีเงินทุนเคลื่อนย้ายจำนวนมากที่ยังอธิบายไม่ได้ และไม่แน่ชัดว่าจะเกี่ยวข้องกับการส่งออกทองและค่าเงินบาทหรือไม่
ผู้ว่าฯ ชี้ว่า ทุกหมวดในดุลการชำระเงินสะท้อนอุปสงค์-อุปทานของเงินตราต่างประเทศ เช่น การส่งออกคือซัพพลาย ส่วนการนำเข้าคือดีมานด์ เมื่อรวมแล้ว ไทยมีซัพพลายมากกว่าดีมานด์ ค่าเงินบาทจึงแข็ง แต่ปัญหาคือ net error ที่สูงผิดปกติ ทำให้ยากจะระบุว่ามาจากธุรกรรมใด โดยยกตัวอย่างว่าอาจเกี่ยวข้องกับธุรกรรมคริปโตที่ยังไม่ถูกบันทึกเต็มรูปแบบ การใช้ “นอมินี” ถือครองสินทรัพย์แทนต่างชาติ หรือธุรกิจสีเทา อย่างไรก็ดี ธปท. ยืนยันว่าตัวเลขดุลรวมยังถูกต้อง เพราะสอดคล้องกับทุนสำรองระหว่างประเทศ (reserve assets change)
ดร. เศรษฐพุฒิ เสริมว่า เมื่อเวลาผ่านไปและตัวเลขหมวดอื่น “เฟิร์มขึ้น” เช่น ดุลบริการจากนักท่องเที่ยว หรือดุลการค้าจากข้อมูลศุลกากร ความผิดปกติของ net error จะค่อย ๆ กระจายออกและลดลง ทำให้ตามหาต้นทางเงินได้ชัดขึ้น พร้อมระบุว่าได้ประสาน ปปง. ให้ช่วยตรวจสอบแล้ว แต่ในระยะสั้นยังแจกแจงไม่ได้ละเอียด
โดยสรุป สาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งผิดปกติในปีนี้ มาจากทั้งดอลลาร์อ่อนและแรงซื้อขายทองคำที่โยงกับพฤติกรรมการลงทุนของไทย มาตรการเดิม เช่น การลดดอกเบี้ยและการดูแลค่าเงิน ช่วยบรรเทาความผันผวน แต่ยังไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ขณะที่มาตรการใหม่ เช่น ภาษีทอง หรือการส่งเสริมให้มีการซื้อขายทองในสกุลดอลลาร์ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนความผิดปกติในดุลการชำระเงินและการส่งออกทองไปกัมพูชายังคงเป็นปริศนาที่ แม้ยังไม่สามารถฟันธงว่าโยงกับทุนเทา แต่ถือเป็น “สัญญาณเสี่ยง” ที่รัฐกำลังเร่งสอบสวนอย่างใกล้ชิด
สำหรับกรณีระงับบัญชีม้าที่ส่งผลกระทบต่อผู้สุจริตนั้น ดร.เศรษฐพุฒิ ยอมรับว่ากระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อมาตรการระงับบัญชีม้ามีความรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา โดย ธปท. เข้าใจดีว่าผู้สุจริตจำนวนมากได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไปหรือผู้ค้าขายที่ต้องใช้บัญชีในการหมุนเงินเลี้ยงชีพ เมื่อถูกระงับธุรกรรมหรืออายัดบัญชี ย่อมสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตและดำเนินธุรกิจ ซึ่งดร.เศรษฐพุฒิ ได้กล่าวขออภัยต่อความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น และยืนยันว่าธปท. พยายามเร่งแก้ไขขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเสียหายให้ได้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการฯ เน้นย้ำว่า หากมองให้รอบด้าน ความลำบากที่ผู้สุจริตเผชิญจากการถูกระงับธุรกรรมชั่วคราว แม้จะส่งผลกระทบต่อการหมุนเงินในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความสูญเสียที่ผู้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพต้องเผชิญแล้ว จะเห็นได้ว่ากลุ่มหลังเผชิญความเดือดร้อนรุนแรงกว่ามาก เพราะเงินเก็บทั้งชีวิตที่สะสมไว้เพื่ออนาคตหรือยามเกษียณสามารถถูกกวาดหายไปในเสี้ยววินาทีจากกลโกงของคอลเซ็นเตอร์หรือแอปพลิเคชันที่แฝงการดูดเงิน
ผู้ว่าฯ ยังเปรียบปัญหามิจฉาชีพว่าไม่ต่างจากโรคมะเร็ง หากปล่อยไว้โดยไม่รีบรักษาย่อมลุกลามและสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างต่อทั้งสังคมและระบบการเงิน ดังนั้น มาตรการเข้มข้นที่ถูกนำมาใช้ แม้อาจสร้างผลข้างเคียงให้ผู้สุจริตบางรายต้องเดือดร้อน แต่ก็เปรียบเสมือนการ “ฉายแสง” เพื่อส่องหาต้นตอและยับยั้งไม่ให้ระบบการเงินไทยกลายเป็นพื้นที่สีเทาที่เปิดทางให้การฉ้อโกงและฟอกเงินเติบโตต่อไป
ดร.เศรษฐพุฒิ ยังชี้ให้เห็นผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยลดลงกว่า 35% ขณะที่เวียดนามกลับเพิ่มขึ้นถึง 44% ส่วนหนึ่งมาจากความกังวลด้านความปลอดภัยและปัญหามิจฉาชีพในประเทศไทย เขามองว่าหากไม่เร่งแก้ไข ความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยจะยิ่งขยายตัวและยากฟื้นฟู
เพื่อบรรเทาผลกระทบ ธปท. ได้เร่งปรับปรุงกระบวนการปลดอายัดบัญชี จากเดิมใช้เวลา 3-7 วัน เหลือเพียง 4 ชั่วโมง และในหลายกรณีไม่เกิน 1 วัน พร้อมทั้งเปิดช่องทางด่วนสำหรับเคสที่มีหมายศาลหรือหมายตำรวจ ขณะเดียวกันยังเดินหน้าปิดบัญชีม้าเชิงรุก โดยในปีที่ผ่านมาได้ระงับบัญชีที่น่าสงสัยแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ซึ่งช่วยลดโอกาสไม่ให้มิจฉาชีพใช้ระบบการเงินเป็นเครื่องมือก่ออาชญากรรม
ด้านนางอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธปท. เสริมว่า การตรวจสอบแต่ละกรณีต้องละเอียดรอบคอบ เพราะบัญชีที่ถูกระงับอาจเป็นของผู้บริสุทธิ์หรือของเครือข่ายอาชญากรรม หากปล่อยเงินออกไปโดยไม่ตรวจสอบ อาจเท่ากับ “คืนเงินให้มิจฉาชีพ” จึงจำเป็นต้องระงับไว้ชั่วคราวเพื่อคัดกรอง เธอระบุเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีระงับธุรกรรมตาม “เส้นเงิน” ปัจจุบันสามารถปลดได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ไม่เกิน 1 วัน ส่วนกรณีอายัดตามหมายตำรวจ แม้ซับซ้อนกว่า แต่ก็มีช่องทางพิเศษเปิดให้ผู้ได้รับผลกระทบเข้ามาดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น
สรุปแล้ว ธปท. ยอมรับว่ามาตรการนี้สร้างความไม่สะดวกต่อผู้สุจริต แต่ย้ำว่าความจำเป็นเร่งด่วนคือการปิดช่องโหว่ ปกป้องประชาชนส่วนใหญ่ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อรายใหม่ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบการเงินไทยในระยะยาว