
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ทางการไทยกำลังพิจารณาจัดเก็บภาษีการซื้อขายทองคำ เพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาทซึ่งกำลังสร้างแรงกดดันต่อทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยหลังรายงานดังกล่าว ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงทันที 0.7% มาอยู่ที่ 31.97 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการอ่อนค่ารายวันที่มากที่สุดตั้งแต่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือมาตรการเก็บภาษีจากธุรกรรมทองคำที่ซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และชำระด้วยเงินบาท โดยอาจยกเว้นการซื้อขายที่ทำในสกุลดอลลาร์สหรัฐ ธุรกรรมในตลาดล่วงหน้า และการซื้อจากร้านค้าทองคำทั่วไป ข้อมูลจากบุคคลใกล้ชิดชี้ว่าเป้าหมายของมาตรการคือเพื่อลดแรงส่งออกทองคำและทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำของคนไทยสูงขึ้น เนื่องจากการไหลเข้าของเงินดอลลาร์จากทองคำเป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาทแข็งค่า
ข้อมูลจากกรมศุลกากรระบุว่า การส่งออกทองคำของไทยในช่วง ม.ค.-ก.ค. 2568 เพิ่มขึ้นถึง 69% แตะระดับ 254,000 ล้านบาท (ราว 8 พันล้านดอลลาร์) เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะการส่งออกไปกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ ก่อให้เกิดเสียงเรียกร้องให้ตรวจสอบ
ด้านราคาทองคำโลกก็ปรับตัวขึ้นเกือบ 40% ในปีนี้ ยิ่งกระตุ้นการส่งออกและทำให้รายได้ดอลลาร์ไหลเข้ามาก ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 7% ตั้งแต่ต้นปี จนแตะระดับแข็งที่สุดตั้งแต่ปี 2564
แรงกดดันนี้เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ส่งออกต้องเผชิญต้นทุนสูงขึ้นจากเงินบาทแข็ง และยังถูกซ้ำเติมด้วยภาษีนำเข้าของสหรัฐในอัตรา 19% ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อเดือนที่แล้ว ขณะเดียวกัน ภาคท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ลดลงบางส่วนเพราะเงินบาทแข็งและความกังวลด้านความปลอดภัย
เพื่อแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็ง นาย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมกับผู้นำภาคอุตสาหกรรมใหญ่เมื่อวันจันทร์ว่า รัฐบาลใหม่จะเร่งแก้ปัญหาความกังวลเรื่องค่าเงินบาท พร้อมให้คำมั่นว่าจะตรวจสอบธุรกรรมส่งออกทองคำ โดยเฉพาะเส้นทางไปกัมพูชา ซึ่งภาคเอกชนตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นแซงค่าเงินอื่นในภูมิภาคเดียวกัน
ในวันจันทร์ ธปท. มีกำหนดประชุมกับผู้ประกอบการค้าทองคำ เพื่อหารือถึงผลกระทบต่อค่าเงินบาท และวางแนวทางการเข้มงวดการรายงานธุรกรรม ขณะที่กระทรวงการคลังจะหารือเพิ่มเติมกับ ธปท. ก่อนตัดสินใจหลังรัฐบาลใหม่เข้ารับตำแหน่ง โดยแนวทางหนึ่งคือการจัดเก็บในรูป “ภาษีธุรกิจเฉพาะ” ซึ่งครอบคลุมกรณีที่ผู้ส่งออกนำรายได้ดอลลาร์กลับมาแลกเป็นเงินบาท ทั้งนี้ อัตราภาษียังอยู่ระหว่างการพิจารณา
แม้ปัจจุบัน ธปท. จะมองว่าการแข็งค่าของเงินบาทส่วนใหญ่เป็นผลจากการอ่อนค่าของดอลลาร์และปัจจัยต่างประเทศ แต่ธปท. ยืนยันว่าจะเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อจำกัดความผันผวน ทั้งนี้ โดยทั่วไปค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งเมื่อมีการขายทองคำในประเทศ เพราะเงินดอลลาร์จากการขายถูกนำมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท
ด้านสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าระดับค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรอยู่ในช่วง 34-35 บาทต่อดอลลาร์ และเสนอให้รัฐบาลตัดธุรกรรมทองคำออกจากการคำนวณดุลบัญชีเดินสะพัด เพื่อลดอิทธิพลของทองคำต่อค่าเงิน
ในอีกด้านหนึ่ง แม้ราคาทองจะพุ่งสูงขึ้น ความต้องการทองคำภายในประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรม โดยคนไทยนิยมซื้อทองคำเพื่อออม การส่งต่อความมั่งคั่ง และถวายวัด ข้อมูลจากบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล และสภาทองคำโลก ระบุว่า ความต้องการทองคำของไทยเพิ่มขึ้น 13% เมื่อปี 2567 และไทยเป็นประเทศเดียวที่อุปสงค์ทองคำเติบโตต่อเนื่อง 4 ปีในช่วงโควิด-19
แนวโน้มในปี 2568 คาดว่าการบริโภคทองในไทยจะขยายตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แตะ 53.7 ตัน โดยประมาณ 70% ของการซื้อขายทองคำในไทยเกิดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ตามข้อมูลของเอ็มทีเอสโกลด์กรุ๊ป หนึ่งในผู้ค้าทองคำรายใหญ่ ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและความนิยมลงทุนในทองคำที่ยังแข็งแกร่ง
ที่มา: Bloomberg