Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ระวังภาษีทรัมป์ถล่มไทย! 8.7 ล้านคนจ่อตกงาน-เงินลด ยาง-สิ่งทอ เจ็บสุด
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ระวังภาษีทรัมป์ถล่มไทย! 8.7 ล้านคนจ่อตกงาน-เงินลด ยาง-สิ่งทอ เจ็บสุด

9 ต.ค. 68
18:37 น.
แชร์

ภาษีนำเข้าชุดใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่อาจสั่นคลอนตลาดแรงงานไทยอย่างรุนแรง เมื่อศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่าแรงงานไทยมากถึง 8.7 ล้านคน หรือราวหนึ่งในห้าของแรงงานทั้งประเทศ อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ แม้ไทยจะสามารถเจรจาลดภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ลงเหลือ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งได้ แต่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและค่าเงินบาทที่แข็งค่ารวดเร็วกำลังบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง

แรงกระแทกจาก “ภาษีทรัมป์” ไม่เพียงกดดันภาคส่งออกเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงลุกลามสู่เศรษฐกิจในประเทศผ่านการลดการจ้างงาน การตัดชั่วโมงทำงาน และการหดตัวของรายได้แรงงาน ในขณะที่ตลาดแรงงานไทยเองก็เปราะบางอยู่แล้วจากรายได้แท้จริงที่ยังไม่ฟื้นหลังโควิด การเพิ่มขึ้นของแรงงานนอกระบบ และผลิตภาพแรงงานที่ลดลงต่อเนื่อง สัญญาณเหล่านี้สะท้อนความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้แรงงานไทยจำนวนมากต้องเผชิญ “ภาวะตกงาน-เงินหด” ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่รอบความตึงเครียดใหม่ของสงครามการค้า

แรงงานไทย 8.7 ล้านคนเสี่ยงถูกกระทบจากภาษีทรัมป์

SCB EIC ประเมินว่าแรงงานไทยราว 8.7 ล้านคนอยู่ในกลุ่มเสี่ยง และ 5 ล้านคนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ โดยแม้ไทยจะสามารถเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ลงเหลือ 19% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่ง และได้ยื่นข้อเสนอใหม่ที่เปิดตลาดเพิ่มเติมตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคเกษตร ซึ่งช่วยลดแรงกระทบต่อการส่งออกและบรรเทาความกังวลของเกษตรกรและผู้ประกอบการบางส่วนได้ แต่ในระยะข้างหน้ายังต้องติดตามความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยที่ยังถูกกดดันจากความแตกต่างของอัตราภาษีนำเข้าระหว่างประเทศคู่ค้า อีกทั้งเงินบาทที่แข็งค่ารวดเร็วเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งสำคัญ ก็อาจกลายเป็นอีกปัจจัยที่กระทบต่อศักยภาพการส่งออกของไทย

ในอนาคต SCB EIC มองว่า แนวโน้มของภาคธุรกิจไทยโดยรวมยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะภาคส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ซึ่งยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจาก

  1. สินค้าส่งออกที่มี Import Content สูง เสี่ยงถูกสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีสวมสิทธิ์เพิ่มเป็น 40%
  2. การแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ ที่รุนแรงขึ้น กระทบต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการ
  3. ปัญหา Import Flooding และมาตรการปกป้องตลาดภายในประเทศที่เข้มงวดมากขึ้นในหลายภูมิภาค

ปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราต่ำต่อเนื่อง และส่งผลต่อการจ้างงานในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

SCB EIC ระบุว่า อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ยางพารา, สิ่งทอ, ยางล้อและชิ้นส่วนยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้าและ HDD, เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน, เหล็ก, กุ้ง, เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก, Power electronics และยานยนต์ ซึ่งแรงงานในกลุ่มนี้อาจได้รับผลกระทบประมาณ 4.9 ล้านคน หรือราว 12.3% ของแรงงานทั้งหมด มีรายได้แท้จริงเฉลี่ย (รวมโบนัสและ OT) 15,333 บาทต่อเดือน

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่จัดอยู่ใน ระดับความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ มันสำปะหลัง, น้ำตาล, ปาล์มน้ำมัน, อาหารสัตว์เลี้ยง, อาหารปศุสัตว์, ยานยนต์เชิงพาณิชย์, จักรยานยนต์, ท่องเที่ยวและโรงแรม, อสังหาริมทรัพย์ทั้งที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์, นิคมอุตสาหกรรม, ผู้ค้าเหล็ก, ขนส่งและโลจิสติกส์, ค้าปลีก, ผักผลไม้สดและแปรรูป รวมถึงวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าแรงงานในกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบราว 3.9 ล้านคน หรือเกือบ 10% ของแรงงานทั้งหมด โดยมีรายได้แท้จริงเฉลี่ย 14,638 บาทต่อเดือน

รวมแล้ว แรงงานในกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงและปานกลางอาจได้รับผลกระทบมากกว่า 8.7 ล้านคน หรือประมาณ 20% ของแรงงานไทยทั้งหมด ผ่านการเลิกจ้าง การลดการจ้างงาน หรือการลดชั่วโมงทำงาน

เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลการจ้างงานเดือนกรกฎาคมกับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 พบสัญญาณการลดการจ้างงานชัดเจน โดยกลุ่มธุรกิจเสี่ยงสูงมีการจ้างงานลดลง 256,619 คน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางพารา สิ่งทอ อาหารทะเล (กุ้ง) และยานยนต์ ขณะที่กลุ่มธุรกิจเสี่ยงปานกลางมีการจ้างงานลดลง 470,852 คน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง น้ำตาล ปาล์มน้ำมัน อาหารสัตว์เลี้ยง ยานยนต์เชิงพาณิชย์ เหล็ก ขนส่ง และโลจิสติกส์

แรงงานไทยเริ่มอ่อนแรง แม้ว่างงานต่ำแต่สัญญาณเปราะบางชัดตั้งแต่ต้นปี 2568

ภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และสงครามการค้ารอบใหม่ยิ่งซ้ำเติมตลาดแรงงานไทยที่เปราะบางอยู่แล้ว แม้อัตราการว่างงานจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ตัวชี้เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเร็วหลังโควิด-19 จากระดับสูงสุด 2.25% ในไตรมาส 3 ปี 2564 เหลือเพียง 0.9% ในไตรมาส 2 ปี 2568 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนโควิดที่ 1% แต่เมื่อเจาะลึกจะพบสัญญาณอ่อนแรงชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 ทั้งรายได้จริงที่ฟื้นช้า จำนวนผู้มีงานทำและชั่วโมงทำงานที่ลดลง รวมถึงแรงงานทำงานไม่เต็มเวลาที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนความเสี่ยงของตลาดแรงงานท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำต่อเนื่อง จากแรงกดดันของสงครามการค้าและอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อนแรง

ตลาดแรงงานไทยจึงเริ่มส่งสัญญาณเปราะบางชัดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2568 แม้อัตราการว่างงานในไตรมาส 2 อยู่ในระดับต่ำใกล้ 1% แต่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังอ่อนแรง ทั้งจากภาคการผลิตที่ฟื้นตัวช้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง และความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มกระทบต่อการจ้างงาน โดยตั้งแต่หลังปี 2567 เป็นต้นมา เครื่องชี้ตลาดแรงงานเชิงลึกสะท้อนความเปราะบางในสามมิติหลัก ได้แก่

  1. อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมและแรงงานอายุน้อยเร่งตัวต่อเนื่อง

อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม มาตรา 33 หรือ 38 สูงสุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 2.3% ในเดือนกรกฎาคม เพิ่มจาก 2.1% ในช่วงครึ่งปีแรก มีผู้ขอรับเงินทดแทนกรณีว่างงานราว 275,000 คน สูงสุดนับจากไตรมาส 1 ปี 2565 ในขณะที่ผู้มีงานทำในระบบมี 12.15 ล้านคน

แรงงานอายุน้อย 15-24 ปี มีอัตราการว่างงานสูงสุดตั้งแต่ปี 2566 ที่ 5.9% ในไตรมาส 2 ปี 2568 เร่งจาก 5.3% ในไตรมาสก่อน โดยกลุ่มจบปริญญาตรีขึ้นไปว่างงานถึง 18.9% จาก 16.1% ในไตรมาส 1 สะท้อนปัญหาการเข้าถึงตำแหน่งงานของแรงงานขาดประสบการณ์ สอดคล้องกับงานศึกษาของ TDRI ในไตรมาส 4 ปี 2567 ที่พบว่า จากตำแหน่งงานออนไลน์กว่า 221,000 ตำแหน่ง มีเพียง 22% ที่ไม่ต้องการประสบการณ์ ขณะที่ 63% ต้องการผู้มีประสบการณ์มาก่อน

  1. จำนวนผู้มีงานทำลดลงต่อเนื่อง หายไปกว่า 5 แสนคนจากปี พ.ศ. 2566

จำนวนผู้มีงานทำเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 2567 และต่อเนื่องในครึ่งแรกของปี 2568 โดยภาคเกษตรหายไป 231,230 คน ส่วนหนึ่งเพราะแรงงานย้ายไปภาคอื่นที่รายได้สูงกว่า และภัยแล้งปี 2567 กระทบการเพาะปลูก ด้านภาคอุตสาหกรรมหดตัว ผู้มีงานทำลดลงอีก 50,130 คน ตามอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อน แม้ภาคบริการยังขยายตัว แต่ก็ชะลอลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 หลังการฟื้นตัวแรงช่วงหลังโควิด ภาพรวมแล้ว แรงงานไทยหายไปประมาณ 500,000 คนจากระดับสูงสุดเกือบ 40 ล้านคนในปี 2566

  1. ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยลดลงและแรงงานเสมือนว่างงานเพิ่มขึ้น

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยลดลงในทุกภาคเศรษฐกิจ อยู่ที่ 41.8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดในปี 2562 ที่ 42.8 ชั่วโมง ขณะที่สัดส่วนผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 8% จาก 5.8% ในปี 2567 โดยในไตรมาส 1 ปี 2568 สูงถึง 11% มากที่สุดในรอบ 4 ปี แบ่งเป็น ภาคเกษตร 3.6% และนอกภาคเกษตร 4.4% ขณะเดียวกัน แรงงานทำงานเต็มเวลาและล่วงเวลาลดลง สะท้อนว่าภาคธุรกิจเริ่มลดการจ้างงาน ผ่านการลดชั่วโมงหรือเปลี่ยนรูปแบบเป็นพาร์ตไทม์และชั่วคราว ซึ่งกระทบโดยตรงต่อการขยายตัวของรายได้แรงงานในระยะถัดไป

รายได้แรงงานยังไม่ฟื้นเต็ม-แรงงานนอกระบบพุ่ง ซ้ำเติมตลาดแรงงานไทย

นอกจากสัญญาณการเร่งตัวของการว่างงานในบางกลุ่ม การลดลงของจำนวนผู้มีงานทำ และการเพิ่มขึ้นของแรงงานทำงานไม่เต็มเวลา ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ตลาดแรงงานไทยยังคงเผชิญผลกระทบจากบาดแผลระยะยาวของโควิด-19 โดยรายได้แรงงานยังฟื้นไม่เต็มที่ และโครงสร้างแรงงานเคลื่อนย้ายออกนอกระบบมากขึ้น ยิ่งเพิ่มความเปราะบางของตลาดแรงงานไทย สะท้อนจากสองประเด็นหลักต่อไปนี้

  1. รายได้แรงงานที่แท้จริงยังต่ำกว่าก่อนโควิด-19

รายได้แรงงานที่แท้จริงซึ่งรวมค่าล่วงเวลาและโบนัส (ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ) ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า โดยข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2562 อยู่ราว 1.2% หมายความว่าหลังเวลาผ่านมากว่าห้าปี รายได้แรงงานไทยในเชิงมูลค่าจริงยังไม่กลับสู่ระดับเดิม โดยเฉพาะแรงงานในภาคบริการรายได้สูง (รายได้เฉลี่ยเกิน 17,000 บาทต่อเดือน) ซึ่งยังมีแนวโน้มชะลอต่อเนื่อง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม แม้รายได้แรงงานเคยฟื้นเกินระดับก่อนโควิด-19 แล้ว แต่เริ่มส่งสัญญาณชะลออีกครั้งในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

ส่วนแรงงานภาคเกษตร รายได้จริงเฉลี่ยยังสูงกว่าก่อนโควิด-19 ผลจากราคาสินค้าเกษตรที่พุ่งขึ้นในช่วงปี 2566-2567 จากภาวะภัยแล้งและการที่อินเดียระงับส่งออกข้าวซึ่งดันราคาข้าวโลกให้สูงขึ้น อย่างไรก็ดี แนวโน้มข้างหน้าราคาสินค้าเกษตรอาจอ่อนตัวลงตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า โดยรายได้แรงงานภาคเกษตรเฉลี่ยอยู่ที่ 8,238 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรายได้แรงงานรวมที่ 16,019 บาทต่อเดือนในไตรมาส 2 ปี 2568 สะท้อนว่ารายได้แท้จริงของแรงงานไทยโดยรวมยังมีแนวโน้มขยายตัวช้าต่อเนื่อง

  1. แรงงานนอกระบบเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

แม้ตลาดแรงงานไทยจะฟื้นตัวรวดเร็วหลังโควิด-19 คลี่คลาย แต่คุณภาพการจ้างงานกลับถดถอย โดยแรงงานนอกระบบ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระ ลูกจ้างในกิจการขนาดเล็ก แรงงานไม่มีสัญญาจ้างถาวร และผู้ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 

ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานนอกระบบราว 21 ล้านคนในปี 2567 คิดเป็น 52.8% ของแรงงานทั้งหมด แรงงานกลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าแรงงานในระบบเกือบครึ่งหนึ่ง อีกทั้งรายได้ไม่แน่นอนและขาดการเข้าถึงสวัสดิการหรือหลักประกันทางสังคม ปัจจัยเหล่านี้ทำให้รายได้แรงงานในภาพรวมฟื้นตัวช้าและมีแนวโน้มขยายตัวต่ำในระยะถัดไป ท่ามกลางภาวะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบาง

แรงงานไทยโครงสร้างเปราะ ผลิตภาพถดถอย เสี่ยงลดศักยภาพแข่งขัน

สำหรับความท้าทายในอนาคต SCB EIC มองว่าตลาดแรงงานไทยยังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะปัญหาสังคมสูงวัยและผลิตภาพแรงงานที่ลดลงต่อเนื่อง

ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2567 เมื่อสัดส่วนผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปแตะ 20.8% ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่อง อัตราการเจริญพันธุ์รวมในปี 2567 อยู่เพียง 1.0 ต่ำกว่าระดับทดแทนประชากรที่ 2.1 ทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติติดลบเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ส่งผลให้กำลังแรงงานเริ่มหดตัวหลังแตะจุดสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2566 ที่ 40.25 ล้านคน ลดลงเฉลี่ยปีละ 0.3% ข้อมูลจากธนาคารโลก ( 2567) ชี้ว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มเร็วและแรงงานลดเร็วที่สุดในโลก โดยอัตราการพึ่งพิงผู้สูงอายุจะเพิ่มจาก 22% ในปัจจุบันเป็น 50% ภายในปี 2593

ขณะเดียวกัน ผลิตภาพแรงงานไทยลดลงต่อเนื่องตามข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่ระบุว่าในช่วงปี 2563-2567 ผลิตภาพแรงงานลดลงเฉลี่ย 0.6% จากที่เคยขยายตัวเฉลี่ยเกือบ 4% ก่อนการระบาดของโควิด-19 สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างเดิมที่ถูกซ้ำเติมด้วยการลงทุนภาคเอกชนต่ำและการลงทุนภาครัฐที่ไม่เพียงพอ ทั้งในโครงสร้างพื้นฐานและทุนมนุษย์ ส่งผลให้แรงงานขาดการพัฒนาทักษะ ไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีใหม่ กดดันต่อการเติบโตของรายได้ในอนาคต

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี แรงงานไทยจำเป็นต้องเร่ง “3 ปรับ” เพื่อรับมือกับความท้าทาย ได้แก่

  • ปรับทักษะ: ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และพัฒนาทักษะใหม่หลากหลายให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน พร้อมเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี เช่น AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
  • ปรับทัศนคติการเงิน: สร้างความยืดหยุ่นทางการเงิน โดยวางแผนรายรับรายจ่าย มีวินัยในการออมและชำระหนี้ ลดรายจ่ายไม่จำเป็น และเพิ่มช่องทางสร้างรายได้
  • ปรับตัวทันโลก: เปิดรับการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการทำงานและค่านิยมใหม่ พร้อมเรียนรู้และปรับตัวต่อเทรนด์โลก เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและอยู่รอดในตลาดแรงงานยุคใหม่
แชร์
ระวังภาษีทรัมป์ถล่มไทย! 8.7 ล้านคนจ่อตกงาน-เงินลด ยาง-สิ่งทอ เจ็บสุด