ภาษีนำเข้าชุดใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่อาจสั่นคลอนตลาดแรงงานไทยอย่างรุนแรง เมื่อศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่าแรงงานไทยมากถึง 8.7 ล้านคน หรือราวหนึ่งในห้าของแรงงานทั้งประเทศ อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ แม้ไทยจะสามารถเจรจาลดภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ลงเหลือ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งได้ แต่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและค่าเงินบาทที่แข็งค่ารวดเร็วกำลังบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง
แรงกระแทกจาก “ภาษีทรัมป์” ไม่เพียงกดดันภาคส่งออกเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงลุกลามสู่เศรษฐกิจในประเทศผ่านการลดการจ้างงาน การตัดชั่วโมงทำงาน และการหดตัวของรายได้แรงงาน ในขณะที่ตลาดแรงงานไทยเองก็เปราะบางอยู่แล้วจากรายได้แท้จริงที่ยังไม่ฟื้นหลังโควิด การเพิ่มขึ้นของแรงงานนอกระบบ และผลิตภาพแรงงานที่ลดลงต่อเนื่อง สัญญาณเหล่านี้สะท้อนความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้แรงงานไทยจำนวนมากต้องเผชิญ “ภาวะตกงาน-เงินหด” ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่รอบความตึงเครียดใหม่ของสงครามการค้า
SCB EIC ประเมินว่าแรงงานไทยราว 8.7 ล้านคนอยู่ในกลุ่มเสี่ยง และ 5 ล้านคนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ โดยแม้ไทยจะสามารถเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ลงเหลือ 19% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่ง และได้ยื่นข้อเสนอใหม่ที่เปิดตลาดเพิ่มเติมตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคเกษตร ซึ่งช่วยลดแรงกระทบต่อการส่งออกและบรรเทาความกังวลของเกษตรกรและผู้ประกอบการบางส่วนได้ แต่ในระยะข้างหน้ายังต้องติดตามความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยที่ยังถูกกดดันจากความแตกต่างของอัตราภาษีนำเข้าระหว่างประเทศคู่ค้า อีกทั้งเงินบาทที่แข็งค่ารวดเร็วเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งสำคัญ ก็อาจกลายเป็นอีกปัจจัยที่กระทบต่อศักยภาพการส่งออกของไทย
ในอนาคต SCB EIC มองว่า แนวโน้มของภาคธุรกิจไทยโดยรวมยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะภาคส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ซึ่งยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจาก
ปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราต่ำต่อเนื่อง และส่งผลต่อการจ้างงานในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
SCB EIC ระบุว่า อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ยางพารา, สิ่งทอ, ยางล้อและชิ้นส่วนยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้าและ HDD, เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน, เหล็ก, กุ้ง, เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก, Power electronics และยานยนต์ ซึ่งแรงงานในกลุ่มนี้อาจได้รับผลกระทบประมาณ 4.9 ล้านคน หรือราว 12.3% ของแรงงานทั้งหมด มีรายได้แท้จริงเฉลี่ย (รวมโบนัสและ OT) 15,333 บาทต่อเดือน
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่จัดอยู่ใน ระดับความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ มันสำปะหลัง, น้ำตาล, ปาล์มน้ำมัน, อาหารสัตว์เลี้ยง, อาหารปศุสัตว์, ยานยนต์เชิงพาณิชย์, จักรยานยนต์, ท่องเที่ยวและโรงแรม, อสังหาริมทรัพย์ทั้งที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์, นิคมอุตสาหกรรม, ผู้ค้าเหล็ก, ขนส่งและโลจิสติกส์, ค้าปลีก, ผักผลไม้สดและแปรรูป รวมถึงวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าแรงงานในกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบราว 3.9 ล้านคน หรือเกือบ 10% ของแรงงานทั้งหมด โดยมีรายได้แท้จริงเฉลี่ย 14,638 บาทต่อเดือน
รวมแล้ว แรงงานในกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงและปานกลางอาจได้รับผลกระทบมากกว่า 8.7 ล้านคน หรือประมาณ 20% ของแรงงานไทยทั้งหมด ผ่านการเลิกจ้าง การลดการจ้างงาน หรือการลดชั่วโมงทำงาน
เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลการจ้างงานเดือนกรกฎาคมกับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 พบสัญญาณการลดการจ้างงานชัดเจน โดยกลุ่มธุรกิจเสี่ยงสูงมีการจ้างงานลดลง 256,619 คน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางพารา สิ่งทอ อาหารทะเล (กุ้ง) และยานยนต์ ขณะที่กลุ่มธุรกิจเสี่ยงปานกลางมีการจ้างงานลดลง 470,852 คน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง น้ำตาล ปาล์มน้ำมัน อาหารสัตว์เลี้ยง ยานยนต์เชิงพาณิชย์ เหล็ก ขนส่ง และโลจิสติกส์
ภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และสงครามการค้ารอบใหม่ยิ่งซ้ำเติมตลาดแรงงานไทยที่เปราะบางอยู่แล้ว แม้อัตราการว่างงานจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ตัวชี้เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเร็วหลังโควิด-19 จากระดับสูงสุด 2.25% ในไตรมาส 3 ปี 2564 เหลือเพียง 0.9% ในไตรมาส 2 ปี 2568 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนโควิดที่ 1% แต่เมื่อเจาะลึกจะพบสัญญาณอ่อนแรงชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 ทั้งรายได้จริงที่ฟื้นช้า จำนวนผู้มีงานทำและชั่วโมงทำงานที่ลดลง รวมถึงแรงงานทำงานไม่เต็มเวลาที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนความเสี่ยงของตลาดแรงงานท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำต่อเนื่อง จากแรงกดดันของสงครามการค้าและอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อนแรง
ตลาดแรงงานไทยจึงเริ่มส่งสัญญาณเปราะบางชัดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2568 แม้อัตราการว่างงานในไตรมาส 2 อยู่ในระดับต่ำใกล้ 1% แต่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังอ่อนแรง ทั้งจากภาคการผลิตที่ฟื้นตัวช้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง และความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มกระทบต่อการจ้างงาน โดยตั้งแต่หลังปี 2567 เป็นต้นมา เครื่องชี้ตลาดแรงงานเชิงลึกสะท้อนความเปราะบางในสามมิติหลัก ได้แก่
อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม มาตรา 33 หรือ 38 สูงสุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 2.3% ในเดือนกรกฎาคม เพิ่มจาก 2.1% ในช่วงครึ่งปีแรก มีผู้ขอรับเงินทดแทนกรณีว่างงานราว 275,000 คน สูงสุดนับจากไตรมาส 1 ปี 2565 ในขณะที่ผู้มีงานทำในระบบมี 12.15 ล้านคน
แรงงานอายุน้อย 15-24 ปี มีอัตราการว่างงานสูงสุดตั้งแต่ปี 2566 ที่ 5.9% ในไตรมาส 2 ปี 2568 เร่งจาก 5.3% ในไตรมาสก่อน โดยกลุ่มจบปริญญาตรีขึ้นไปว่างงานถึง 18.9% จาก 16.1% ในไตรมาส 1 สะท้อนปัญหาการเข้าถึงตำแหน่งงานของแรงงานขาดประสบการณ์ สอดคล้องกับงานศึกษาของ TDRI ในไตรมาส 4 ปี 2567 ที่พบว่า จากตำแหน่งงานออนไลน์กว่า 221,000 ตำแหน่ง มีเพียง 22% ที่ไม่ต้องการประสบการณ์ ขณะที่ 63% ต้องการผู้มีประสบการณ์มาก่อน
จำนวนผู้มีงานทำเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 2567 และต่อเนื่องในครึ่งแรกของปี 2568 โดยภาคเกษตรหายไป 231,230 คน ส่วนหนึ่งเพราะแรงงานย้ายไปภาคอื่นที่รายได้สูงกว่า และภัยแล้งปี 2567 กระทบการเพาะปลูก ด้านภาคอุตสาหกรรมหดตัว ผู้มีงานทำลดลงอีก 50,130 คน ตามอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อน แม้ภาคบริการยังขยายตัว แต่ก็ชะลอลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 หลังการฟื้นตัวแรงช่วงหลังโควิด ภาพรวมแล้ว แรงงานไทยหายไปประมาณ 500,000 คนจากระดับสูงสุดเกือบ 40 ล้านคนในปี 2566
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยลดลงในทุกภาคเศรษฐกิจ อยู่ที่ 41.8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดในปี 2562 ที่ 42.8 ชั่วโมง ขณะที่สัดส่วนผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 8% จาก 5.8% ในปี 2567 โดยในไตรมาส 1 ปี 2568 สูงถึง 11% มากที่สุดในรอบ 4 ปี แบ่งเป็น ภาคเกษตร 3.6% และนอกภาคเกษตร 4.4% ขณะเดียวกัน แรงงานทำงานเต็มเวลาและล่วงเวลาลดลง สะท้อนว่าภาคธุรกิจเริ่มลดการจ้างงาน ผ่านการลดชั่วโมงหรือเปลี่ยนรูปแบบเป็นพาร์ตไทม์และชั่วคราว ซึ่งกระทบโดยตรงต่อการขยายตัวของรายได้แรงงานในระยะถัดไป
นอกจากสัญญาณการเร่งตัวของการว่างงานในบางกลุ่ม การลดลงของจำนวนผู้มีงานทำ และการเพิ่มขึ้นของแรงงานทำงานไม่เต็มเวลา ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ตลาดแรงงานไทยยังคงเผชิญผลกระทบจากบาดแผลระยะยาวของโควิด-19 โดยรายได้แรงงานยังฟื้นไม่เต็มที่ และโครงสร้างแรงงานเคลื่อนย้ายออกนอกระบบมากขึ้น ยิ่งเพิ่มความเปราะบางของตลาดแรงงานไทย สะท้อนจากสองประเด็นหลักต่อไปนี้
รายได้แรงงานที่แท้จริงซึ่งรวมค่าล่วงเวลาและโบนัส (ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ) ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า โดยข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2562 อยู่ราว 1.2% หมายความว่าหลังเวลาผ่านมากว่าห้าปี รายได้แรงงานไทยในเชิงมูลค่าจริงยังไม่กลับสู่ระดับเดิม โดยเฉพาะแรงงานในภาคบริการรายได้สูง (รายได้เฉลี่ยเกิน 17,000 บาทต่อเดือน) ซึ่งยังมีแนวโน้มชะลอต่อเนื่อง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม แม้รายได้แรงงานเคยฟื้นเกินระดับก่อนโควิด-19 แล้ว แต่เริ่มส่งสัญญาณชะลออีกครั้งในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
ส่วนแรงงานภาคเกษตร รายได้จริงเฉลี่ยยังสูงกว่าก่อนโควิด-19 ผลจากราคาสินค้าเกษตรที่พุ่งขึ้นในช่วงปี 2566-2567 จากภาวะภัยแล้งและการที่อินเดียระงับส่งออกข้าวซึ่งดันราคาข้าวโลกให้สูงขึ้น อย่างไรก็ดี แนวโน้มข้างหน้าราคาสินค้าเกษตรอาจอ่อนตัวลงตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า โดยรายได้แรงงานภาคเกษตรเฉลี่ยอยู่ที่ 8,238 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรายได้แรงงานรวมที่ 16,019 บาทต่อเดือนในไตรมาส 2 ปี 2568 สะท้อนว่ารายได้แท้จริงของแรงงานไทยโดยรวมยังมีแนวโน้มขยายตัวช้าต่อเนื่อง
แม้ตลาดแรงงานไทยจะฟื้นตัวรวดเร็วหลังโควิด-19 คลี่คลาย แต่คุณภาพการจ้างงานกลับถดถอย โดยแรงงานนอกระบบ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระ ลูกจ้างในกิจการขนาดเล็ก แรงงานไม่มีสัญญาจ้างถาวร และผู้ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566
ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานนอกระบบราว 21 ล้านคนในปี 2567 คิดเป็น 52.8% ของแรงงานทั้งหมด แรงงานกลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าแรงงานในระบบเกือบครึ่งหนึ่ง อีกทั้งรายได้ไม่แน่นอนและขาดการเข้าถึงสวัสดิการหรือหลักประกันทางสังคม ปัจจัยเหล่านี้ทำให้รายได้แรงงานในภาพรวมฟื้นตัวช้าและมีแนวโน้มขยายตัวต่ำในระยะถัดไป ท่ามกลางภาวะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบาง
สำหรับความท้าทายในอนาคต SCB EIC มองว่าตลาดแรงงานไทยยังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะปัญหาสังคมสูงวัยและผลิตภาพแรงงานที่ลดลงต่อเนื่อง
ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2567 เมื่อสัดส่วนผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปแตะ 20.8% ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่อง อัตราการเจริญพันธุ์รวมในปี 2567 อยู่เพียง 1.0 ต่ำกว่าระดับทดแทนประชากรที่ 2.1 ทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติติดลบเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ส่งผลให้กำลังแรงงานเริ่มหดตัวหลังแตะจุดสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2566 ที่ 40.25 ล้านคน ลดลงเฉลี่ยปีละ 0.3% ข้อมูลจากธนาคารโลก ( 2567) ชี้ว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มเร็วและแรงงานลดเร็วที่สุดในโลก โดยอัตราการพึ่งพิงผู้สูงอายุจะเพิ่มจาก 22% ในปัจจุบันเป็น 50% ภายในปี 2593
ขณะเดียวกัน ผลิตภาพแรงงานไทยลดลงต่อเนื่องตามข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่ระบุว่าในช่วงปี 2563-2567 ผลิตภาพแรงงานลดลงเฉลี่ย 0.6% จากที่เคยขยายตัวเฉลี่ยเกือบ 4% ก่อนการระบาดของโควิด-19 สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างเดิมที่ถูกซ้ำเติมด้วยการลงทุนภาคเอกชนต่ำและการลงทุนภาครัฐที่ไม่เพียงพอ ทั้งในโครงสร้างพื้นฐานและทุนมนุษย์ ส่งผลให้แรงงานขาดการพัฒนาทักษะ ไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีใหม่ กดดันต่อการเติบโตของรายได้ในอนาคต
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี แรงงานไทยจำเป็นต้องเร่ง “3 ปรับ” เพื่อรับมือกับความท้าทาย ได้แก่