
‘คนละครึ่ง พลัส’ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วน Quick Big Win ของรัฐบาลอนุทิน ที่เปิดใช้เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ช่วยให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจดีขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง เห็นได้จากตัวเลขการใช้จ่ายผ่านโครงการที่ดำเนินมา 3 วัน (29-31 ตุลาคม 2568) มีผู้ใช้จ่ายผ่านโครงการนี้สำเร็จแล้วมากกว่า 13.60 ล้านราย มียอดใช้จ่ายมากกว่า 6,000 ล้านบาท
กระทรวงการคลังเปิดเผยความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง พลัส ว่า ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 23.00 น. มียอดใช้จ่ายรวม 6,368.82 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายจำนวน 3,218.84 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่ายจำนวน 3,149.97 ล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าของการลงทะเบียนร้านค้าในโครงการฯ จากข้อมูลสะสม ณ วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 23.00 น. มีร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้วจำนวน 783,645 ราย
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 วินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ให้ข้อมูลว่า ประชาชนสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ระหว่างเวลา 06.00 - 23.00 น. ผ่าน G-Wallet ในแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ โดยในแต่ละวันไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายให้เต็มสิทธิ 200 บาท
โฆษกกระทรวงการคลังย้ำถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง พลัส ว่า การใช้จ่ายในโครงการฯจะต้องเป็นการซื้อขายสินค้า บริการเฉพาะบริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม และบริการขนส่งสาธารณะ ไม่รวมถึงสินค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ บัตรกำนัล บัตรเงินสด และบริการรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า
วิธีการใช้ ผู้ซื้อและผู้ขายต้องมีการทำธุรกรรมซื้อขายและสแกน QR Code เพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการแบบพบหน้า (Face to Face) โดยไม่มีการดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์หรือผ่านคนกลาง เว้นแต่การใช้สิทธิผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่เข้าร่วมโครงการฯ
ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่ให้บริการนวด และสปา ที่ประสงค์จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ขอให้ตรวจสอบชื่อและที่ตั้งของสถานประกอบการในแอปพลิเคชัน ‘ถุงเงิน’ ให้ตรงกับใบอนุญาตสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการตรวจสอบ และอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ดังมีรายละเอียดวิธีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลร้านค้าถุงเงินบนเว็บไซต์ถุงเงินกรุงไทยปรากฏตาม QR Code
นอกจากนั้น โฆษกกระทรวงการคลังแจ้งข้อมูลว่า จากการติดตามตรวจสอบพฤติการณ์ของร้านค้าในสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมกับการวิเคราะห์ธุรกรรมของร้านค้าด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Analytics) กระทรวงการคลังได้ระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการฯ ของร้านค้าแล้วเป็นจำนวน 55 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น.) เนื่องจากมีพฤติการณ์รับแลกเงินและสแกนรับเงินห่างจุดขายแบบผิดปกติ
โฆษกกระทรวงการคลังเตือนร้านค้าด้วยว่า กระทรวงการคลังจะดำเนินการเอาผิดกับร้านค้าที่ทุจริตในโครงการฯ อย่างถึงที่สุด พร้อมเตือนอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า
“โครงการฯ มีวัตถุประสงค์ชัดเจนที่รัฐบาลจะร่วมจ่ายค่าสินค้าหรือบริการกับประชาชนเพื่อบรรเทาภาระ และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอยกับผู้ค้าขายรายเล็กที่สุจริต ดังนั้น หากร้านค้าและประชาชนมีพฤติการณ์ เช่น รับแลกเงินโดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริง สแกนค่าสินค้าต่างจากราคาสินค้าหรือบริการจริง ซื้อขายสินค้าต้องห้าม ให้บริการที่ไม่ได้อยู่ในข่ายประเภทที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นต้น จะนำไปสู่ความเสียหายต่อการดำเนินโครงการฯ และกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเรียกเงินคืนจากร้านค้าเต็มจำนวนตามที่รัฐได้โอนให้แก่ร้านค้าและดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดต่อไป นอกจากนี้ ขอย้ำเตือนร้านค้าอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าโดยให้จำหน่ายสินค้าในราคาเดียวกันทั้งกรณีชำระด้วยเงินสด และชำระผ่านโครงการฯ” วินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ โฆษกกระทรวงการคลังกล่าว
หมายเหตุ: ภาพ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงพื้นที่ตลาดในวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นวันแรกที่โครงการคนละครึ่ง พลัส เปิดให้ใช้จ่าย