นิสสัน มอเตอร์ เตรียมประกาศลดจำนวนพนักงานทั่วโลกประมาณ 20,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่เคยเปิดเผยไว้กว่าเท่าตัว โดยการลดจำนวนพนักงานดังกล่าวคิดเป็นประมาณ 15% ของพนักงานทั่วโลกของนิสสัน ซึ่งบริษัทมีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการประจำปีในวันอังคารนี้
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นิสสันระบุว่าจะลดจำนวนพนักงานทั่วโลกราว 9,000 ตำแหน่ง หรือประมาณ 7% ของพนักงานทั้งหมด พร้อมลดกำลังการผลิตทั่วโลกราว 20% เหลือ 4 ล้านคันต่อปี โดยได้ดำเนินการปิดสายการผลิตในบางประเทศ เช่น อินเดียและอาร์เจนตินา เพื่อควบคุมต้นทุน อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ล่าสุด บริษัทเห็นว่าการลดพนักงานเพิ่มเติมเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยอดขายตกต่ำ กำลังการผลิตล้นเกิน
ช่องว่างระหว่างยอดขายและกำลังการผลิตขยายกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราการใช้กำลังการผลิต (plant utilization rate) ของนิสสันในสหรัฐฯ อยู่ที่ 57.7% ในปี 2024 ขณะที่ในจีนและญี่ปุ่นอยู่ที่ 45.3% และ 56.7% ตามลำดับ อ้างอิงข้อมูลจากบริษัทวิจัย GlobalData ซึ่งถือว่าต่ำกว่าระดับคุ้มทุน (breakeven point) ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่โดยปกติอยู่ที่ประมาณ 80%
อีวาน เอสปิโนซา ซีอีโอคนใหม่ของนิสสัน ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนเมษายนต่อจากมาโกโตะ อุชิดะ กำลังพยายามเร่งฟื้นฟูธุรกิจของบริษัท ท่ามกลางสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่ยากลำบากขึ้นทั่วโลก
ในเดือนเมษายน นิสสันได้เปิดเผยว่าคาดว่าจะขาดทุนสุทธิสูงถึง 750,000 ล้านเยน (ประมาณ 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับปีงบการเงินสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025 ซึ่งพลิกกลับจากกำไรสุทธิ 4.26 แสนล้านเยนในปีก่อนหน้า โดยนโยบายภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์คาดว่าจะยิ่งซ้ำเติมผลกำไรในปีงบประมาณนี้
ขณะเดียวกัน นิสสันยังต้องเผชิญกับยอดขายที่ซบเซาอย่างหนักในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน บริษัทระบุว่าจะบันทึกค่าเผื่อด้อยค่าสินทรัพย์ (impairments) มากกว่า 500,000 ล้านเยน จากการทบทวนสินทรัพย์การผลิตในอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นอย่างละเอียด
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นิสสันยังได้ประกาศยกเลิกแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการยกเลิกดังกล่าวสะท้อนถึงการปรับกลยุทธ์ของบริษัทจากการขยายตัวอย่างรวดเร็ว มาสู่การมุ่งเน้นเสถียรภาพทางการเงินเป็นสำคัญ
นิสสันมีกำหนดเปิดเผยรายละเอียดแผนการปฏิรูปโครงสร้างองค์กร รวมถึงมาตรการลดพนักงานครั้งใหญ่นี้ ในการแถลงผลประกอบการประจำปีในวันอังคาร
ที่มา: Nikkei Asia