ธุรกิจการตลาด

Tesla ยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์ EV กำลังวิกฤต ? หุ้นร่วง 32% กำไรลดลง 40% 

15 มี.ค. 67
Tesla ยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์ EV กำลังวิกฤต ? หุ้นร่วง 32% กำไรลดลง 40% 

จากดาวจรัสแสงในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า กำลังลงไปสู่ดาวร่วง อนาคตของ Tesla กำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ ราคาหุ้นร่วงลง 32% ตั้งแต่ต้นปี 2567 กลายเป็นหุ้นที่ทำผลงานได้ แย่ที่สุดในดัชนี S&P 500

 

Tesla ยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์ EV กำลังวิกฤต ? หุ้นร่วง 32% กำไรลดลง 40% 

Tesla ยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์ EV กำลังวิกฤต ? หุ้นร่วง 32% กำไรลดลง 40% 

สำนักข่าว CNN รายงานว่า รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ของ Elon Musk เคยเป็นตัวแทนของอนาคตแห่งวงการผลิตรถยนต์ แต่ตอนนี้อนาคตของบริษัทเองกลับไม่แน่นอน ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ครั้งหนึ่งเคยร้อนแรง และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน "เจ็ดหุ้นยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี" ปัจจุบันกลับเป็นหุ้นที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดในดัชนี S&P 500 ปีนี้ (S&P 500 คือ ดัชนีตลาดหุ้นที่ติดตามหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐจำนวน 500 บริษัท ) โดยลดลงเกือบ 32% ตั้งแต่เดือนมกราคม

เรื่องราวความตกต่ำของ Tesla (TSLA) มีการพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย บริษัทเผชิญกับปัญหาความปลอดภัย การเรียกคืนรถยนต์ การเติบโตที่ชะลอตัว และจำเป็นต้องปรับลดราคาอย่างมาก อย่างไรก็ตาม รายงานใหม่จาก Colin Langan นักวิเคราะห์ของ Wells Fargo เมื่อวันพุธที่ผ่านมาแสดงให้เห็นภาพที่มืดมนกว่าที่คิดไว้ เขาเขียนว่า Tesla คือ "บริษัทเติบโตที่ไร้การเติบโต"

 

Tesla ผลกำไรที่ลดลงถึง 40%

Langan คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของ Tesla จะทรงตัวในปีนี้และลดลงในปี 2568 เมื่อการแข่งขันสูงขึ้น ยอดส่งมอบไม่ถึงเป้าหมาย และบริษัทต้องเผชิญแรงกดดันด้านเทคโนโลยีและรถยนต์ จนจำเป็นต้องลดราคาลงอีก โดย UBS หรือ Union Bank of Switzerland ก็ได้ปรับลดคาดการณ์สำหรับ Tesla ในวันพุธที่ผ่านมาเช่นกัน นักวิเคราะห์กล่าวว่าความกังวลกำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าชะลอตัว และจีนได้เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้แล้ว

บริษัท Magnificent Seven อื่นๆ (ซึ่งรวมถึง Apple, Amazon, Meta, Google, Nvidia และ Microsoft) มีรายได้เติบโตสองหลักหรือสามหลักในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 แต่ Tesla กลับรายงานผลกำไรที่ลดลงถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

ผลประกอบการของ Tesla

Tesla ยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์ EV กำลังวิกฤต ? หุ้นร่วง 32% กำไรลดลง 40% 

กำไรของ Tesla ลดลง 40% เหลือ 71 เซนต์ต่อหุ้น ขณะที่รายรับเติบโตเพียง 3.5% เป็น 25.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งกำไรและรายได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อย การลดราคาอย่างต่อเนื่องช่วยกระตุ้นความต้องการรถยนต์ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยกำไรที่ลดลง

ด้านอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ของ Tesla ลดลงจาก 17.9% ในไตรมาส 3 และ 23.8% ในไตรมาส 4 ของปี 2022 เหลือ 17.6% ในไตรมาสนี้ สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของรถยนต์ที่ไม่รวมเครดิตภาษีนั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating margin) เพิ่มขึ้น 8.2% ทำลายสถิติการลดลงอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ 7.6% ในไตรมาส 3 โดยในไตรมาส 4 ของปี 2022 นั้น อัตรากำไรอยู่ที่ 16% ซึ่งอัตรากำไรที่เห็นในไตรมาสนี้ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมรถยนต์แบบดั้งเดิม อัตรากำไรที่เพิ่งขึ้นมาได้เกิดจากการลดต้นทุนลงบางส่วน แต่ CFO ของ Tesla บอกว่าการลดต้นทุนในลักษณะนี้ได้ทำไปมากแล้ว นั่นอาจหมายถึงการที่ Tesla จะต้องลดราคาลงอีกเพื่อรักษายอดขายซึ่งจะส่งผลให้กำไรที่เคยสูงลดลงอีกต่อเนื่อง

Tesla ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยอดส่งมอบรถเพียงเล็กน้อย บอกแค่ว่าการเติบโตในปี 2024 จะ "ลดลงอย่างชัดเจน" เมื่อเทียบกับปี 2023 นักวิเคราะห์ซึ่งลดตัวเลขประมาณการของ Tesla ลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปลายปี 2022 ตอนนี้คาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2024 จะลดลง 1% เมื่อเทียบกับ 3.12 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023 และด้วยยอดส่งมอบรถในไตรมาส 1 ที่ต่ำ ตัวเลขคาดการณ์อาจจะยังลดลงอีก


Tesla กำลังวิกฤต จากการแข่งขันสูงขึ้น

Tesla กำลังเผชิญกับวิกฤตรอบด้าน สภาพตลาดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแข่งขันสูงขึ้นมาก ในขณะที่ฐานรากของบริษัทเองเริ่มไม่มั่นคง ราคาหุ้นลดลงมากถึง 60% จากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 407 ดอลลาร์ในปี 2564 Langan ระบุว่า แม้จะมีการลดราคาลงแล้ว หุ้นของ Tesla ก็ยังคงมีมูลค่าสูงมากเมื่อเทียบกับรายได้และกำไรที่แท้จริงของบริษัท การเติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนในอดีตอาจจะไม่เกิดขึ้นอีก และราคาหุ้นอาจจะร่วงลงได้อีก โดย Wells Fargo ได้ลดเป้าหมายราคาหุ้นจาก $200 เหลือ $125 คาดการณ์ว่าจะมีการลดลงอีก 25% ส่วน UBS ปรับลดเป้าหมายราคาแบบสายกลางมากขึ้นเป็น $165 จากเดิมที่ $225

 

ที่มา CNN

 

advertisement

SPOTLIGHT