ปัจจุบันเราอยู่ในยุคของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนายกระดับความสามารถขึ้นในทุกๆ นาที แต่สำหรับผู้ใช้งาน คงต้องยอมรับว่าแต่ละคน-แต่ละองค์กรยังมีความพร้อมและความรู้ที่จะนำ AI และเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ มาใช้ไม่เท่ากัน บางองค์กรเก่งเรื่องเทคก็สามารถนำ AI มาใช้ประโยชน์ได้ดีมาก บางองค์กรอาจจะใช้งานได้แค่ระดับพื้นฐาน ขณะที่บางองค์กรอาจจะยังไม่รู้เลยว่าจะนำมาใช้อย่างไร
หากอยากได้ข้อมูลและไอเดียว่าองค์กรของคุณจะนำ AI มาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์ และการจะนำมาใช้นั้น ต้องเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง SPOTLIGHT ชวนเรียนรู้จากผู้บริหารจาก 4 องค์กรหัวแถว ที่ร่วมแชร์ประสบการณ์และวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีบนเวทีเสวนา “Digital Leader: Shaping tomorrow” ในงาน Digital Government Summit 2025: Leading Thailand to the Top in GovTech เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ณ SPHERE HALL ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์
ผู้บริหาร 4 องค์กรหัวแถวที่ว่านี้ประกอบด้วย จอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ สายนวัตกรรมทางการเงินและเทคโนโลยีดิจิทัลและสายเทคโนโลยีดิจิทัล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล กรรมการผู้จัดการ กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) และพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
จอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ สายนวัตกรรมทางการเงินและเทคโนโลยีดิจิทัลและสายเทคโนโลยีดิจิทัล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาททั้งด้านการกำกับดูแลและการพัฒนาตลาดทุน เล่าว่า ก.ล.ต.ทำ digital transformation ตั้งแต่หลายปีก่อน โดยมีการนำระบบเครื่องมือต่างๆ มาช่วยในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก.ล.ต.ได้นำ AI มาใช้ในหลายส่วน
รองเลขาฯจอมขวัญยกตัวอย่างการใช้งาน AI ของ ก.ล.ต.ว่า มีการใช้ AI ตรวจจับพฤติกรรมของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลว่ามีการพฤติกรรมการปั่นราคาหุ้นภายใต้เวลาที่กำหนดหรือไม่ ใช้ AI ตรวจจับความผิดปกติในงบการเงินหรือหมายเหตุประกอบงบการเงิน รวมถึงให้ AI ดูข้อมูล (data) ต่างๆ แล้วประมวลผลว่ามีความผิดหรือไม่ และใช้ AI ในการทำ social listening ติดตามว่ามีข่าวหรือกระแสในสังคมเกี่ยวกับ ก.ล.ต.อย่างไร เพื่อที่จะตอบสนองได้ทันท่วงที อีกทั้งยังใช้ เป็นต้น
รองเลขาฯจอมขวัญบอกว่า การจะนำ AI เข้ามาใช้งานวิเคราะห์ข้อมูลนั้น ข้อมูลต้องพร้อมก่อน ดังนั้น ก.ล.ต.จึงพยามทำองค์กรให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยมีการปฏิวัติเรื่องความถูกต้องและครบถ้วนของข้อมูลเมื่อสองสามปีก่อนหน้านี้ และพยายามขับเคลื่อนให้พนักงาน ก.ล.ต. ทั้งระดับบริหารและระดับเจ้าหน้าที่ต้องมีมายนด์เซตที่เป็น ‘Innovation mindset’ คือ ต้องยอมรับที่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิดวิธีการทำงาน
ทั้งนี้ ก.ล.ต.มีกลไกในการขับเคลื่อนโดยตั้ง ‘AI Task Force’ ขึ้นมาทำหน้าที่ขับเคลื่อนโครงการต่างๆ เกี่ยวกับ AI และมี AI Master ทำหน้าที่ให้คำแนะนำและติดตามโครงการของเพื่อนพนักงาน วิธีการดำเนินการแบ่งเป็น 3 เลเยอร์ ได้แก่ Learning คือ การอบรมให้ความรู้, Hackathon คือ ประกวดแข่งกันโครงการ AI และ Innovation Marketplace คือ การเปิดตลาดนัดแชร์โครงการให้คนในองค์กรได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้โครงการของฝ่ายอื่น
รองเลขาฯจอมขวัญบอกเคล็ดไม่ลับด้วยว่า ก.ล.ต.ขับเคลื่อน AI Transformation ด้วยแนวคิด “Small start, Smart scale” โดยเริ่มทำจากกลุ่มเล็กๆ ให้แต่ละทีมมีโครงการที่แก้ pain point ในการทำงานของฝ่ายตนเอง ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้แต่ละฝ่ายเรียนรู้จากฝ่ายอื่นๆ แล้วนำโครงการของฝ่ายอื่นๆ ไปปรับใช้ เมื่อเกิดความสำเร็จในหลายๆ ส่วน ก็จะขยายความสำเร็จขึ้นเป็นความสำเร็จระดับองค์กรได้ แต่ทั้งนี้ การนำ AI มาใช้ในองค์กรหลายๆ ส่วนต้องใช้ความเชี่ยวชาญเกินกว่าที่พนักงานในองค์กรจะดำเนินการเองได้ จึงต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามาช่วยหรือให้คำปรึกษา
นอกจากนั้น รองเลขาฯจอมขวัญแชร์อีกว่า เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก การปรับตัวแบบวิ่งตามเทคโนโลยีนั้นใช้ไม่ได้แล้ว เพราะวิ่งอย่างไรก็ไม่ทัน แต่ควรสร้าง agility หรือความคล่องตัว โดยคิดแบบมองคาดการณ์ไปข้างหน้า แล้วเตรียมคนและเตรียมข้อมูลให้พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
สำหรับการใช้งานเทคโนโลยีที่ ก.ล.ต.สนใจจะนำมาใช้ต่อไปมี 4 เทคโนโลยี คือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูล (data platform) โครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ (cloud infrastructure) และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cyber security)
ส่วนเรื่องการเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของ ก.ล.ต.นั้น รองเลขาฯจอมขวัญเปิดเผยว่า โจทย์ของ ก.ล.ต. คือ จำเป็นต้องสร้างระบบการทำงานแบบ co-creation มีคนกลางทำหน้าที่ประสานความเข้าใจ เหมือนวุ้นแปลภาษาระหว่างคนทำงานฝ่ายไอทีกับคนทำงานฝ่ายธุรกิจ ซึ่งสื่อสารกันไม่เข้าใจ “เป็นเหมือนคนเก่งสองคนที่คุยกันไม่รู้เรื่อง”
ไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) เล่าถึงการนำ AI และเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยงานของ DGA ว่า ในยุคที่การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของทุกประเทศกำลังเปลี่ยนผ่านจาก Digital by project ไปสู่ Digital by default ไทยกำลังพัฒนารัฐบาลดิจิทัลแบบ Digital by design ให้การพัฒนาระบบต่างๆ เริ่มตั้งแต่การออกแบบโดยให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน
“การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลจึงไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดของระบบราชการที่ทำงานให้มีความยืดหยุ่นขึ้น อยากให้ยืดหยุ่นได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของภาคเอกชนก็ยังดีโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆ”
รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลอธิบายว่า DGA ในฐานะหน่วยงานที่ขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทยโดยเฉพาะ ทำหน้าที่สร้างแพลตฟอร์ม วางนโยบาย และมาตรฐานต่างๆ พร้อมกับพัฒนาคนให้มีความรู้-ความเข้าใจที่จะทรานสฟอร์มหน่วยงานภาครัฐด้วยหน่วยงานของตนเองได้
กลยุทธ์ในการทำงานของ DGA แบ่งเป็น 3 กลยุทธ์หลักๆ ได้แก่
กลยุทธ์ที่ 1 ให้ความสำคัญกับ Open & Connect Platform โดย DGA จะสร้างแพลตฟอร์มกลางที่ช่วยให้ภาครัฐสามารถใช้ประโยชน์ข้อมูลต่างๆ เชื่อมโยงบริการต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและใช้บริการได้ในที่เดียว ยกตัวอย่าง แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถติดต่อราชการได้ภายในแอปฯเดียว โดยเชื่อมโยงข้อมูลและบริการต่างๆ ของภาครัฐแล้วกว่า 460 บริการ สำหรับภาคธุรกิจ มีแพลตฟอร์มชื่อ ‘Biz Portal’ ที่เชื่อมโยงบริการแล้ว 220 บริการ และมี ‘ทางรัฐไอดี’ ให้บริการยืนยันตัวตน ซึ่งมี 150 บริการที่ใช้ทางรัฐไอดีในการยืนยันตัวตน เป็นต้น
กลยุทธ์ที่ 2 ให้ความสำคัญกับ Policy and Standard โดยมีการพัฒนาและวางมาตรฐานต่างๆ เพื่อให้การพัฒนาระบบรัฐบาลดิจิทัลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเป็นไปอย่างมีระบบ มีการจัดการ ทั้งมาตรฐาน Data government มาตรฐาน Open data มาตรฐานการใช้ Digital ID สำหรับบริการออนไลน์ในภาครัฐ และมาตรฐานการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ไปจนถึงแนวปฏิบัติกระบวนการทางดิจิทัล ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหน่วยงานจำเป็นต้องปฏิบัติตาม
กลยุทธ์ที่ 3 ให้ความสำคัญกับเรื่อง People & Mindset ซึ่งมีการจัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรภาครัฐด้านดิจิทัล (TDGA) เพื่ออบรมผู้บริหารภาครัฐและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อพัฒนาทักษะทางดิจิทัลของบุคคลากรภาครัฐ เพื่อให้เป็นกำลังสำคัญของภาครัฐในด้านการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลต่อไป
รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ DGA บอกอีกว่า สิ่งที่ DGA จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่อไป คือ ใช้ AI พัฒนาแอปฯทางรัฐเวอร์ชันใหม่ที่มีการปรับแต่งสำหรับผู้ใช้แต่ละคน (personalization) เพื่อให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนให้ได้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ใช้บริการจะมีอายุครบ 60 ปีในอีกสองเดือนข้างหน้า เมื่อเปิดเข้าแอปฯทางรัฐ จะมีการแจ้งเตือนว่าประสงค์จะรับสิทธิ์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุหรือไม่ เป็นต้น
ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล กรรมการผู้จัดการ กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) แชร์ประสบการณ์และมุมมองว่า KBTG เป็นบริษัทที่ทรานสฟอร์มอยู่เสมอตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยเริ่มจาก digital transformation แล้วมาสู่ data driven organization และกำลังไปสู่ยุค AI transformation
ดร.ทัดพงศ์เล่าว่า KBTG ก่อตั้งเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ในตอนนั้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ KBTG มีฝ่ายเทคโนโลยีอยู่แล้ว แต่ทีมก่อตั้ง KBTG มองว่า เทคโนโลยีต้องไม่เป็นเพียงระบบหลังบ้านแต่ต้องเป็นทีมที่เข้าใจธุรกิจและสรรหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจและลูกค้า เพื่อเสริมศักยภาพการทำงานของธนาคารกสิกรไทย
KBTG จึงเกิดขึ้นมาโดยมีพันธกิจ 2 อย่าง ได้แก่ (1) สนับสนุนธุรกิจของบริษัทแม่ ทั้งออกแบบและจัดเตรียมเทคโนโลโลยีต่างๆ ให้ธนาคารกสิกรไทย ทั้ง แอปพลิเคชัน โมบายล์แบงก์กิง ออกแบบระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้งานในสาขา และระบบตู้ ATM และทำ digital transformation และ (2) สร้างอนาคต คือ ไม่ได้มองแค่ปัจจุบัน หรือ ณ เวลานั้นๆ แต่มองไปยังอนาคตว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แล้วประเมินว่าบริษัทแม่จะต้องมีการลงทุนอะไรเพิ่มเติม เพื่อที่จะยังตอบโจทย์ของลูกค้าได้
ดร.ทัดพงศ์แชร์ประสบการณ์ในฐานะองค์กรที่ทำทรานสฟอร์เมชันมาแล้วหลายยูสเคสว่า digital transformation เป็นกระบวนการที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ต้องทำไปเรื่อยๆ การจะทำ AI transformation ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่ทำ data transformation และหากไม่ทำ digital transformation ก็จะไม่ได้ data สำหรับทำ AI transformation ดังนั้น digital transformation จึงเป็นพื้นฐานที่ต้องทำ
ดร.ทัดพงศ์บอกอีกว่า KBTG วางกลยุทธ์เรื่อง AI transformation ให้เป็น Human first AI คือจะนำ AI เข้ามาใช้ในจุดที่ใช้ได้ โดยยึดคนเป็นศูนย์กลาง และมีการวางกลยุทธ์ AI 5+1 ในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ (1) AI for Banking - การสร้างและประยุกต์ใช้ AI เพื่อส่งเสริมธุรกิจธนาคาร (2) AI for IT Delivery & Operations - การพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการด้านไอที (3) AI & Data Platform - การพัฒนาแพลตฟอร์ม Data และ AI เพื่อรองรับการสร้าง AI use case ใหม่ๆ (4) Governance & Ecosystem - การกำกับดูแลการใช้งาน AI (5) AI Tech Business - การพัฒนา AI Products เพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ และ (+1) People - การยกระดับพนักงานขององค์กรให้มีความรู้และความพร้อมด้าน AI ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์หลักทั้งหมด
ส่วนเทคโนโลยีที่ KBTG สนใจเป็นพิเศษที่นำมาใช้งานในอนาคต คือ การนำ Agentic AI มาช่วยให้บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ดีขึ้น และอีกเทคโนโลยีหนึ่งคือ ควอนตัมคอมพิวติง ซึ่งจะมีบทบาทมากในเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทั้งสำหรับฝั่งที่ใช้ควอนตัมคอมพิวติงในการปกป้องระบบและฝั่งที่ใช้ในการเจาะระบบ
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีหัวแถวของไทยแสดงความเห็นว่า เทคโนโลยีเกิดขึ้นเร็วและเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีต้องมีการพัฒนาตลอด และเทคโนโลยีออกแบบมาให้ชีวิตและการทำงานของมนุษย์ดีขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้องค์กรทำงานได้ดีขึ้นก็ควรนำเทคโนโลยีมาใช้
พชรยอมรับว่าแม้แต่บลูบิคเองซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางเทคโนโลยี ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและ AI มากกว่า 1,000 คน ก็ต้องมีการปรับตัวตลอดเช่นกัน ต้องมีการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านต่างๆ อยู่ตลอด เพื่อให้มีองค์ความรู้เพียงพอที่จะทำงานร่วมกับบริษัทและองค์กรคู่ค้า
สิ่งที่บลูบิคพยายามจะทำ คือ พยายามพัฒนาขีดความสามารถทั้งของบลูบิคและองค์กรลูกค้า ซึ่งจากการทำงานกับลูกค้าหลายองค์กรพบว่าแต่ละองค์กรมีความพร้อมไม่เท่ากัน บลูบิคจึงพัฒนา AI Adoption Maturity Framework ขึ้นมา โดยมี 4 ระดับ ได้แก่
1. Assist - การนำ AI มาช่วยงานพื้นฐานง่ายๆ
2. Analyze - การนำ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อซัพพอร์ตการตัดสินใจ ซึ่งในระดับนี้องค์กรจะต้องมีข้อมูล
3. Automate - การทำให้กระบวนการการทำงานเป็นอัตโนมัติมากขึ้น ซึ่งในขั้นนี้ต้องทรานสฟอร์มระบบงาน มีการวางโครงสร้างพื้นฐานในองค์กรให้มีความพร้อม ถ้าบางกระบวนการยังทำงานบนกระดาษ จะยังไม่สามารถใช้ AI เข้ามาช่วยในการทำออโตเมชั่นได้
4. Advance - การนำ AI เข้ามาอยู่ใน core business ซึ่งแต่ละบริษัทมี core business ไม่เหมือนกัน การนำ AI มาใช้ให้ตอบโจทย์อาจจะต้องมีการ customize หรือสร้างโมเดลที่เฉพาะเจาะจงกับงานเหล่านั้น
“ถึงแม้ว่าโลกจะมี AI เกิดขึ้นมาและเปลี่ยนเร็วมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้เท่ากัน เราก็ต้องมีการปรับตัว มีการวางพื้นฐานของธุรกิจขององค์กรให้มีความพร้อม จะได้ใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บลูบิคแนะนำว่า นโยบายและแนวทางการนำเทคโนโลยี หรือ AI มาใช้ต้องมาจากผู้บริหารสูงสุดขององค์กรว่า ผู้นำมีวิสัยทัศน์ว่ามีเป้าหมายอยากให้องค์กรเป็นอย่างไร แล้วจะนำเทคโนโลยีหรือ AI มาใช้ให้เกิดผลกระทบอย่างไร ขณะเดียวกันฝั่งการลงทุน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ในองค์กรธุรกิจ หรือผู้บริหารด้านการเงินในองค์กรภาครัฐ ต้องพิจารณาความคุ้มค่าว่าที่ลงทุนไปนั้นได้ผลตอบแทนกลับมาคุ้มค่าหรือไม่ ไม่ควรลงทุนซื้อเทคโนโลยีมาใช้แล้วองค์กรขาดทุน นอกจากนั้น ต้องปรับพื้นฐานกระบวนการต่างๆ ให้พร้อม
“ท้ายที่สุดก็กลับมาเป็นเรื่องคน เพราะทุกองค์กรยังรันด้วยคน การที่เราจะให้คนแสดงศักยภาพได้สูงสุด เราต้องมีการพัฒนาทักษะให้มีความพร้อม และต้องกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบ (job description) ให้เหมาะสม เพราะบางงานอาจจะหายไป และบางงานอาจจะเพิ่มขึ้นมา หรือบางงานที่มีอยู่แล้วอาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบในการทำงาน” CEO บลูบิคสรุป
ส่วนการนำเทคโนโลยีมาใช้ต่อไปเพื่อให้บลูบิคทำงานได้ดียิ่งขึ้น พชรเปิดเผยว่า จะมีการนำ AI มาใช้ใน 4 ด้าน คือ
1. Experience & revenue uplift - นำ AI มาช่วยในการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างรายได้มากยิ่งขึ้น
2. Operation excellent - การใช้ AI และระบบอัตโนมัติ ในการพัฒนากระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสียหายและความผิดพลาดให้น้อยลง
3. Insight and decision making - ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและให้คำแนะนำในการตัดสินใจ ช่วยให้ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
4. Risk management & governance - ใช้ AI ควบคุมดูแล ความเสี่ยง และตรวจสอบการทำงานที่ผิดปกติ-ไม่เป็นไปตามนโยบาย