Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ธุรกิจครอบครัวไทย เดินต่ออย่างไรให้โตยั่งยืน ก้าวผ่าน ‘คำสาป 3 รุ่น’
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ธุรกิจครอบครัวไทย เดินต่ออย่างไรให้โตยั่งยืน ก้าวผ่าน ‘คำสาป 3 รุ่น’

1 ต.ค. 68
19:24 น.
แชร์

“รุ่นแรกสร้าง รุ่นสองใช้ รุ่นสามทำลาย” คือ ‘คำสาป 3 รุ่น’ ของการทำธุรกิจที่คนทำธุรกิจหลายคนหวาดหวั่น และมีผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ที่มักจะยกมาอ้างอิงกันว่า มีเพียง 1 ใน 3 ของธุรกิจครอบครัวที่ผ่านรุ่นที่ 2 และส่งต่อธุรกิจสู่รุ่น 3 และมีเพียง 13% ที่ผ่านรุ่น 3 ส่งต่อธุรกิจให้รุ่น 4 ได้ 

ด้วยความท้าทายที่ธุรกิจครอบครัวต้องเผชิญ บวกกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งเป้าดึงบริษัทคุณภาพดีเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงพยายามเป็นพี่เลี้ยงเสริมแกร่งให้ธุรกิจครอบครัว โดยจัดงานสัมมนาให้ความรู้แก่ธุรกิจครอบครัวมาแล้ว 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งงานในปีนี้จัดขึ้นในชื่อ ‘The 3rd SET Annual Conference on Family Business: Transforming Family Business’ เมื่อวันศุกร์ที่ 26 กันยายน 2568 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 

ปีนี้ SET เชิญกูรูระดับโลก ดร.แมตต์ อัลเลน (Dr.Matt Allen) ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทายาทธุรกิจจาก John L. Ward Center for Family Enterprises, Kellogg School of Management มาบรรยายบนเวทีหลัก ในหัวข้อ ‘Maintaining Entrepreneurial Growth in the Family Business Across Generations’ 

เสริมความเข้มข้นด้วยวิทยากรที่เป็นทายาทตัวจริงในการสานต่อธุรกิจให้เติบโตมาแชร์ประสบการณ์ นั่นคือ ปริญญ์ จิราธิวัฒน์ รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) อีกทั้งยังมีการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) แยก 6 ห้อง 6 หัวข้อ ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้เรียนรู้แบบเจาะลึกอย่างตรงจุดที่แต่ละครอบครัวต้องการ 

ตลาดหลักทรัพย์เป็นบ้านแห่งโอกาสของธุรกิจครอบครัวไทย 

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวปาฐกถาเปิดงานว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯและพันธมิตรยังคงมุ่งมั่นให้ความสำคัญในการสนับสนุนและพัฒนาธุรกิจครอบครัวไทยให้เข้มแข็งและเติบโตเป็นเสาหลัก เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนและเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง

ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวต่อไปว่า ธุรกิจครอบครัวกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญในยุคความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการก้าวเข้าสู่ยุค AI (ปัญญาประดิษฐ์) เต็มตัว ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากตลาดหลักทรัพย์ฯจะเป็นผู้นำในการเปิดเวทีจัดงานสัมมนา ‘SET Annual Conference on Family Business’ แล้ว ยังได้ดำเนินโครงการต่างๆ ร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนธุรกิจครอบครัวให้สามารถปรับตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน

“นอกจากโครงการเหล่านี้ที่ต้องทำต่อเนื่องแล้ว ในอนาคตตลาดหลักทรัพย์ฯยังคงเป็น ‘บ้านแห่งโอกาส’ สำหรับธุรกิจครอบครัวไทยในการเดินหน้าร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานผ่านโครงการกิจกรรมต่างๆ มีความยั่งยืน เกิดประโยชน์ที่แท้จริงกับธุรกิจครอบครัวไทย ตลาดทุน และประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อการร่วมมือกันพลิกอนาคตธุรกิจครอบครัวให้โตอย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นการลบคำสาปที่ว่าธุรกิจครอบครัวจะจบสิ้นภายใน 3 รุ่น” ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์กล่าว  

ความสำคัญของบริษัทครอบครัวต่อตลาดทุนไทย 

ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแชร์ข้อมูลที่เผยให้เห็นความสำคัญของบริษัทครอบครัวต่อตลาดทุนไทยด้วยว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565 - 2567) บริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวใช้กลไกของตลาดหุ้นไทยในการระดมทุนเพื่อขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง

บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯที่มาจากธุรกิจครอบครัวมีมูลค่าสินทรัพย์รวมเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 9% ต่อปี และมีสัดส่วนเป็น 55% ของสินทรัพย์รวมทั้งตลาด ขณะที่รายได้รวมยังคงเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 11% ต่อปี และมีสัดส่วน 48% ของรายได้รวมทั้งตลาด ส่วนกำไรรวมมีการผันผวนตามภาวะตลาด แต่ยังมีสัดส่วนเฉลี่ย 54% ของกำไรรวมทั้งตลาด 

สัดส่วนมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ของบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวต่อมูลค่าตลาดรวม (Total Market Cap) เฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ระดับ 53% มีการจ้างงานเฉลี่ย 1,400,000 อัตรา หรือ 74% ของการจ้างงานทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

“จากข้อมูลตัวเลขนี้ ทำให้เห็นได้ว่าบริษัทธุรกิจครอบครัวได้รับประโยชน์จากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีความสำคัญต่อตลาดทุนไทยเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจครอบครัวโดยมีการเร่งเผยแพร่ความรู้ การจัดอบรมสัมมนาให้การศึกษาแก่ธุรกิจครอบครัวอย่างต่อเนื่อง” 

ตั้งเป้าดึงบริษัทเข้าตลาดหุ้นให้ถึง 1,000 บริษัท 

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเพิ่มเติมว่า มีเป้าหมายจะดึงบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (ทั้ง SET และ mai) ให้ได้ถึง 1,000 บริษัทภายใน 2-3 ปี จากปัจจุบันที่มีบริษัทจดทะเบียนอยู่ 829 บริษัท (ณ ไตรมาส 1 ปี 2568) จึงจำเป็นต้องสร้างเครื่องยนต์ใหม่ และสร้างระบบใหม่ที่จะทำให้ธุรกิจครอบครัวอยากเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์บอกอีกว่า การที่ธุรกิจครอบครัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะส่งผลดีต่อธุรกิจครอบครัวเอง ทั้งในแง่การหาแหล่งทุนง่ายขึ้น การมีตัวกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในครอบครัว การกำกับดูแล ความโปร่งใส ที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตยั่งยืน และในอีกทางหนึ่งก็จะเพิ่มตัวเลือกให้นักลงทุน หนุนเสริมเศรษฐกิจ เพิ่มการจ้างงาน และเพิ่มรายได้ภาษีของรัฐ 

“เมื่อมีบริษัทครอบครัวเข้าตลาดทุนมากขึ้น จะมีการจ้างงานมากขึ้น มีการเสียภาษีมากขึ้น มีโอกาสให้นักลงทุนมากขึ้น ได้ผลตอบแทนที่ดี ได้เงินปันผลที่ดี เกิดวงจรที่ครบบริบูรณ์ในการเสริมสร้างเศรษฐกิจ เกิด multiplier effect (ผลของตัวคูณทางเศรษฐกิจ) ถ้าเราเลือกบริษัทครอบครัวดีๆ เข้าตลาดทุน มันจะเกิดทั้งจีดีพี รายได้ สิ่งแวดล้อมดี มันจะดีไปหมด ที่สำคัญคือต้องหาบริษัทดีๆ เข้าจดทะเบียนให้ได้”

ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นอีกว่า หลายธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทยเริ่มจากการเป็นธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กๆ อย่างเช่น กลุ่มเซ็นทรัลของตระกูลจิราธิวัฒน์ และไทยประกันชีวิตของตระกูลไชยวรรณที่มาเป็นวิทยากรในงานนี้ 

“การที่ธุรกิจครอบครัวขยายใหญ่ได้ เพราะว่าครอบครัวเหล่านี้ต้องการความยั่งยืน มีการนำมืออาชีพเข้ามาทำงาน ผมคิดว่าเราเห็นตัวอย่างจากครอบครัวคุณปริญญ์ จิราธิวัฒน์ และครอบครัวคุณวรางค์ ไชยวรรณ การที่เขาขยายใหญ่โตได้เพราะมีโอกาสในการขยายธุรกิจ ซึ่งตลาดทุนก็เป็นหัวใจสำคัญ เป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯที่จะต้องบ่มเพาะธุรกิจครอบครัวดีๆ ของไทยให้ก้าวมาพัฒนาร่วมกันกับตลาดทุน เพราะถ้าเป็นธุรกิจครอบครัวโดยไม่มีตลาดทุนมาช่วย ยากนักที่จะอยู่รอดได้เกิน 3 รุ่น หรือสามารถขยายธุรกิจเป็นระดับภูมิภาคและระบบโลก

“ถ้ามีบริษัทที่เติบโตเป็นเป็นบริษัทระดับโลกสัก 30-50 บริษัท เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นแน่นอน คนไทยจะมีรายได้ดีขึ้น จึงเป็นหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ฯที่จะให้ความรู้และสร้างความเข้มแข็ง ให้แรงบันดาลใจแก่ธุรกิจครอบครัวว่าถ้าไม่เปลี่ยนแปลงและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ยากนักที่จะอยู่รอดได้” ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์กล่าว 

ความท้าทายของธุรกิจครอบครัวไทย 

สำหรับความท้าทายและปัญหาของธุรกิจครอบครัวไทยนั้น ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์บอกว่า “เหมือนกันกับธุรกิจครอบครัวทั่วโลก” โดยอธิบายว่า ความท้าทายที่หนึ่งคือ ความขัดแย้งของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งมีทั้งขัดแย้งในเรื่องส่วนตัว และเรื่องแนวทางในการทำธุรกิจ ความท้าทายที่สองคือ ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างเช่น สงคราม ความเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี ที่มาดิสรัปต์ธุรกิจครอบครัว เพราะฉะนั้น ธุรกิจครอบครัวต้องปรับตัวด้วยความรวดเร็ว เพื่อที่จะตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง ซึ่งบริษัทที่ปรับตัวได้เร็วและดีนั้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทในตลาดทุน 

อีกความท้าทายสำคัญของธุรกิจครอบครัวไทยที่ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์กล่าวถึงลงลึก คือ การหาผู้สืบทอดธุรกิจ ซึ่งธุรกิจครอบครัวที่จะอยู่ได้อย่างมั่นคงยั่งยืนนั้นต้องมีแผนการคัดเลือกผู้สืบทอดและแผนการลงจากตำแหน่งของรุ่นก่อนหน้า ทั้งนี้ ในอดีต การหาผู้สืบทอดธุรกิจอาจจะไม่ยากนัก เพราะครอบครัวในอดีตมีลูกหลานจำนวนมาก แต่ในปัจจุบัน หลายครอบครัวมีลูกหลานน้อย หาผู้สืบทอดยาก ดังนั้น การจะสืบทอดธุรกิจครอบครัวอาจจะต้องพิจารณาตัวเลือกขยายไปถึงเขยและสะใภ้ หรือแม้กระทั่งอาจจะต้องใช้คนนอกครอบครัว โดยเริ่มสรรหาจากคนในครอบครัวก่อน หากไม่มีคนที่เหมาะสมค่อยพิจารณาคนนอก 

“ธุรกิจครอบครัวไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยวางแผนเรื่องแผนการสืบทอด แล้วอาจจะเกิดเหตุด่วนที่ต้องหาผู้นำคนใหม่ อย่างเช่น ผู้นำคนเดิมเกิดอุบัติเหตุหรือป่วยเสียชีวิต มีเยอะมากที่ธุรกิจล้มหายไปเลยเพราะผู้นำเสียชีวิต … ทุกองค์กรธุรกิจควรเตรียมผู้สืบทอดไว้แต่เนิ่นๆ วันที่ธุรกิจครอบครัวเริ่มใหญ่ขึ้นก็ควรเริ่มวางแผนแล้ว แต่เมืองไทยทำน้อยมาก”

ประเด็นปัญหาที่ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวมานี้ สอดคล้องกับที่ วิเชฐ ตันติวานิช นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัว แบ่งปันข้อมูลว่า ปัญหาที่ผู้ประกอบการในสมาคมพบร่วมกันมากที่สุดคือการส่งมอบอำนาจบริหารธุรกิจให้รุ่นถัดไป ที่ไม่มีกระบวนการเตรียมการส่งต่อ 

“การส่งต่อให้ราบรื่นต้องมีกระบวนการที่ชัดว่าจะคัดเลือกใครเป็นผู้บริหาร โดยต้องทำล่วงหน้า ต้องเขียนคุณสมบัติให้ชัดเจน แล้วดูว่าคุณสมบัตินั้นตรงกับใคร โดยไม่ต้องสนใจว่าคนคนนั้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรือไม่ เมื่อเลือกได้แล้วก็ปรับเตรียมตัวเขา เช่น หาโค้ชให้เขา ให้เขาไปเรียนรู้ในสายงานที่ครบถ้วนมากขึ้น หรือให้ไปอบรมหลักสูตรต่างๆ ที่ช่วยให้มีมุมมองกว้างขึ้นและมีเพื่อนในแวดวงธุรกิจที่เขาต้องทำมาค้าขายด้วย” นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัว 

ผู้เชี่ยวชาญแนะแนวทางสร้างทายาทสานต่อธุรกิจให้ยั่งยืน

ดร.แมตต์ อัลเลน ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทายาทธุรกิจจาก John L. Ward Center for Family Enterprises, Kellogg School of Management แชร์ข้อมูลว่า การลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทย 99.7% มาจากธุรกิจครอบครัว แม้รู้ว่าโอกาสสำเร็จมีไม่ถึง 5% แสดงว่าธุรกิจครอบครัวในประเทศไทยเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง ขณะที่สัดส่วนเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 75% นี่เป็นจุดหนึ่งที่จะช่วยสร้างจิตวิญญาณผู้ประกอบการให้แก่ทายาทธุรกิจครอบครัวไทย ซึ่งการขาดจิตวิญญาณผู้ประกอบการนั้นเป็นกับดักสำคัญของการสืบทอดธุรกิจครอบครัว 

ดร.แมตต์บอกว่าวิธีการที่จะทำให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตยั่งยืนมี 5 หลักการใหญ่ๆ คือ 

1. ธุรกิจครอบครัวต้องกล้าตัดสินใจทำ กล้าลองเสี่ยง และเรียนรู้จากการเสี่ยงนั้น อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเสี่ยงได้กับทุกด้าน อย่างเรื่องระบบบัญชี เป็นเรื่องที่ห้ามเสี่ยง ดังนั้น การให้ทายาทแยกออกมาทำธุรกิจย่อยเล็กๆ เพื่อทดลองโดยจำกัดความเสี่ยงจะเป็นทางที่ดีกว่า

2. สอนให้ลูกหลานแก้ปัญหาเอง ไม่ใช่พ่อแม่แก้ปัญหาให้ แต่อาจจะช่วยชี้แนะและให้คำปรึกษาโดยการถามว่าเจอปัญหาแบบนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร 

3. ออกไปดูตลาด ไปดูว่าคู่แข่งทำธุรกิจอย่างไร อย่างเช่น ถ้าทำธุรกิจร้านอาหารต้องไปนั่งกินอาหารในร้านคู่แข่งบ่อยๆ 

4. สร้างแรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation) โดยให้สิทธิ ให้อำนาจ ปล่อยให้ลูกหลานคิด แล้วดูว่าลูกหลานทำอะไร ทำอย่างไร ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ประเมินความสามารถจากสิ่งที่เขาทำ 

5. การสร้างความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง มีการร่วมมือกับคนอื่น รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้ผู้สืบทอดรู้สึกอยากสร้างตำนานของธุรกิจในยุคของตนเองต่อไป 

การเลือกผู้นำและกระบวนการส่งต่ออำนาจที่ดี 

นอกจากที่ ดร.แมตต์บรรยายบนเวทีแล้ว SPOTLIGHT ได้พูดคุยกับ ดร.แมตต์เพิ่มเติมอีกหลายประเด็น

ดร.แมตต์อธิบายว่า แม้ว่ามีธุรกิจครอบครัวจำนวนมากที่ไม่สามารถอยู่รอดได้ในรุ่นที่ 2 และ 3 แต่ก็มีธุรกิจครอบครัวจำนวนไม่น้อยที่อยู่รอดได้ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม สำหรับคำถามที่ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวล้มเหลว ดร.แมตต์คิดว่า มีสาเหตุหลักสองประการ สาเหตุแรกคือ การที่ธุรกิจครอบครัวไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ สาเหตุที่สอง คือ ครอบครัวไม่สามารถปรับตัวได้เมื่อขนาดครอบครัวขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นั้นมาพร้อมความซับซ้อนที่มากขึ้นเรื่อยๆ

ที่น่าสนใจคือ แม้ว่าในแต่ละประเทศแต่ละสังคมมีรูปแบบความสัมพันธ์หรือธรรมเนียมของครอบครัวที่ต่างกัน แต่สิ่งที่ ดร.แมตต์พบคำตอบจากการศึกษาเรื่องนี้และการสอนผู้ประกอบการจากทุกภูมิภาคทั่วโลก คือ ความขัดแย้งในครอบครัวมีเหมือนกันในทุกประเทศ ทุกวัฒนธรรม แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือวิธีการที่ครอบครัวในแต่ละวัฒนธรรมจัดการกับความขัดแย้ง

“ยกตัวอย่างเช่น ในวัฒนธรรมเอเชีย ซึ่งให้ความสำคัญกับการเคารพผู้อาวุโส เคารพพ่อแม่ ความขัดแย้งมักจะเงียบกว่ามาก มีความขัดแย้ง มีความเห็นไม่ตรงกันเกิดขึ้นในวัฒนธรรมเอเชีย แต่ไม่มีใครพูดถึงมันอย่างจริงจัง ซึ่งหมายความว่าความขัดแย้งอาจเติบโตขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะไม่มีใครพูดถึงความขัดแย้งนั้น

“ในวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น ละตินอเมริกา ซึ่งเปิดกว้างกว่ามาก คุณจะเห็นการพูดคุยเกี่ยวกับความขัดแย้งนั้นอย่างเปิดเผย ปัญหาจึงไม่ใช่ความเงียบ แต่คือจะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในความขัดแย้งนั้นอย่างไร ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องเลือกวิธีการให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมที่คุณอยู่”

สำหรับกระบวนการเปลี่ยนผ่านหรือส่งต่ออำนาจการบริหาร ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของธุรกิจครอบครัว ดร.แมตต์แนะนำว่า ครอบครัวต้องไม่มองการสืบทอดตำแหน่งเป็นแค่เหตุการณ์ที่จะต้องหาผู้นำคนใหม่เมื่อผู้นำคนเก่าต้องลงจากตำแหน่ง แต่ต้องมองเป็นกระบวนการ และต้องเริ่มทำตั้งแต่เนิ่นๆ แม้กระทั่งได้ผู้นำคนใหม่แล้วก็ยังต้องมีกระบวนการพัฒนาผู้นำคนใหม่ต่อไป รวมถึงการให้ผู้นำคนใหม่ทำงานร่วมกับผู้นำคนเดิม เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านอำนาจบริหารเป็นไปอย่างราบรื่น

นอกจากนั้น ดร.แมตต์แนะนำเกี่ยวกับการเลือกผู้นำด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ ผู้นำธุรกิจครอบครัวต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้นำครอบครัวด้วย โดยอธิบายลงรายละเอียดว่า ผู้นำธุรกิจนอกจากมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะบริหารธุรกิจแล้ว ต้องเป็นคนที่คนในครอบครัวยอมรับ ทำให้คนในครอบครัวเชื่อและเดินตามได้ด้วย หากไม่มีคุณสมบัติที่นำได้ทั้งธุรกิจและครอบครัว การเป็นผู้นำธุรกิจก็จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะอาจจะเกิดปัญหาในครอบครัวแล้วกระทบธุรกิจ

แชร์
ธุรกิจครอบครัวไทย เดินต่ออย่างไรให้โตยั่งยืน ก้าวผ่าน ‘คำสาป 3 รุ่น’