หลังวันที่ 7 สิงหาคม อัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปตลาดสหรัฐฯอยู่ที่ระดับ 19% ตามการประกาศของทำเนียบขาว แม้อัตราภาษีของไทยจะใกล้เคียงกับหลายประเทศในอาเซียน ทำให้ไม่เกิดปัญหาความเสียเปรียบในด้านภาษี แต่ผู้ประกอบการไทยยังต้องปรับตัวจากทั้งต้นทุนการผลิต ความทันสมัย เพื่อแข่งขันในการส่งสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯต่อไปอยู่ดี
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว.ชี้ว่า ความเสี่ยงของสถานการณ์สงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SME อย่างมาก เพราะการส่งออกของ SME ไปยีงตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่า 221,586 ล้านบาทคิดเป็น 11.5% ของการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯทั้งหมดที่มีมูลค่า 1.93 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกัน SME ยังมีความสำคัญในการเป็นห่วงโซ่อุปทานสินค้าให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่อีกด้วย
ทั้งนี้สสว.ได้ทำการศึกษาข้อมูลและพบกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการค้ายุคทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะ “สินค้าสวมสิทธิ์” จากไทยและส่งไปที่สหรัฐฯถูกกำหนดภาษีสูงถึง 40%กลุ่มธุรกิจไหนของ SMEs ไทยที่เปราะบาง และมีแนวทางการปรับตัวให้รอดได้อย่างไร SPOTLIGHT สรุปข้อมูลที่สำคัญมาให้ดังนี้
สมดุลใหม่ในอาเซียน หมายถึงอัตราภาษี 19% ที่ไทยได้อยู่ในระดับเดียวกับคู่แข่งสำคัญทั้งหมด คือ อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, กัมพูชา และใกล้เคียงกับเวียดนาม (20%) ความได้เปรียบเสียเปรียบจึงน่าจะมาจากการบริหารต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ, นวัตกรรม, และความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ (Non-Tariff Barriers) สำหรับธุรกิจไทยนั่นคือ “การสวมสิทธิ์” ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อันตรายที่สุด เพราะสหรัฐฯเพ่งเล็งกับการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหรือทางผ่านเพื่อหลบเลี่ยงภาษีโดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีการนำเข้าจากจีนสูงและเป็นกลุ่มส่งออกหลักของเอสเอ็มอีไปยังสหรัฐฯ หากไทยถูกตรวจพบการสวมสิทธิ์อย่างชัดเจนมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรง ซึ่งอาจทำให้อัตราภาษีพุ่งขึ้นไปถึง 40% ได้ความเสี่ยงนี้รุนแรงกว่าอัตราภาษี 19% หลายเท่าตัวและเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญที่สุด
ข้อมูลจาก สสว.พบว่า ปัจจุบันสินค้าส่งออกไทยกว่า 19% ผลิตจากวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศในสัดส่วนเกิน 40% โดยกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับ SME ไทย ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ยางพารา, สิ่งทอ, และพลาสติก ซึ่งหากการตรวจสอบเข้มงวดอาจเพิ่มต้นทุนการส่งออก และทำให้เสียเปรียบคู่แข่งที่มีห่วงโซ่อุปทานในประเทศที่แข็งแกร่งกว่าเช่นกัน
ทั้งนี้ข้อมูลของสสว. ระบุว่ามี12 กลุ่มสินค้าเสี่ยงสูงจากกำแพงภาษีสหรัฐฯของ SMEs โดยพิจารณาจากมูลค่าการส่งออกและการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯที่ควรเฝ้าระวังเพราะเป็นสินค้าที่รับจ้างผลิตหรือ OEM ได้แก่
ทั้งนี้ในปี2567 ผู้ส่งออกใน 12 กลุ่มสินค้าเสี่ยงสูงของเอสเอ็มอีจากกำแพงภาษีของสหรัฐสหรัฐฯเหล่านี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 3,105 ราย โดยส่วนใหญ่ 53.3% หรือ 1,655 ราย เป็นผู้ผลิตและส่งออกไปเองซึ่งมักเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วนอีก 40.4% หรือ 1,254 รายเป็นผู้ค้าซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเอสเอ็มอี
อย่างไรก็ตามผลกระทบจากภาษี 19% ต่อ SMEs ไทยไม่ได้เกิดขึ้นในมิติเดียวแต่สามารถแบ่งกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบ 4 รูปแบบหลัก
สินค้า: อุปกรณ์ไฟฟ้า, เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์, ยานยนต์และส่วนประกอบ, ยางและผลิตภัณฑ์ยางผลกระทบ: แม้ผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ แต่การชะลอตัวของอุตสาหกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจมหภาค, การจ้างงาน, และห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ซึ่งรวมถึง SME ที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน (Supplier) ให้กับธุรกิจเหล่านี้
สินค้า: เฟอร์นิเจอร์, เครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ, ของเล่น, เครื่องประดับ, อาหารแปรรูป
ผลกระทบ: เป็นกลุ่มที่ SME เป็นผู้เล่นหลักโดยตรง และพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงมาก แม้มูลค่ารวมอาจไม่ใหญ่เท่ากลุ่มแรก แต่ผลกระทบต่อการดำรงชีพ ความอยู่รอดของผู้ประกอบการ SME และเศรษฐกิจฐานรากจะรุนแรง
สินค้า: สินค้าอุปโภคบริโภค, เครื่องใช้ไฟฟ้า, สิ่งทอ และสินค้าอื่นๆ ที่มีการแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากจีน
ผลกระทบ: นโยบายยกภาษีของสหรัฐฯ ต่อจีน อาจส่งผลให้สินค้าที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ ทะลักเข้ามายังตลาดอาเซียนรวมถึงไทยในราคาที่ต่ำมาก (Dumping) เพิ่มขึ้นอีก ทำให้ SME ที่เน้นขายในประเทศต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้น ซึ่งจะบีบส่วนต่างกำไรและส่วนแบ่งตลาดในบ้านของตัวเอง
ผู้ผลิตที่ต้องการวัตถุดิบคุณภาพ: การปรับสมดุลการค้าโลกเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไทยสามารถเข้าถึง วัตถุดิบ, เครื่องจักร, และเทคโนโลยี จากสหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ในราคาที่และคุณภาพที่ดีขึ้น เพื่อนำมาพัฒนากระบวนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น กลุ่มยานยนต์ที่ต้องการวัตถุดิบจากสหรัฐอร้อย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผู้นำเข้าและผู้บริโภคในประเทศ: การที่ต้นทุนวัตถุดิบลดลงอาจทำให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการในประเทศมีโอกาสเข้าถึงสินค้าคุณภาพในราคาที่เหมาะสม ช่วยประหยัดต้นทุนและเพิ่มทางเลือกการบริโภค
นอกจากต้นทุนด้านภาษี ที่ต้องยอมรับว่าคือต้นทุนธุรกิจที่เห็นได้ชัดเจน แต่อย่าลืมว่าปัจจุบัน หลายตลาดส่งออกแม้ภาษีต่ำกว่ากัน แต่ก็อาจมีมาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในต้นทุนของผู้ประกอบการเช่นกัน เช่น การกำหนดมาตรฐานสินค้าที่เข้มงวด ในกรณีสหรัฐฯ มีข้อกำหนดมาตรฐานสินค้าที่สูง เช่น FDA, UL Certification, CPSIA ซึ่งเพิ่มต้นทุนแฝง (ค่าธรรมเนียม, การทดสอบ, เอกสาร) ให้กับผู้ส่งออก SMEs
นอกจากนี้ยังมีเรื่องกฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) ที่เป็นความเสี่ยงสำคัญอาจไปสู่ภาษี 40% เพราะสหรัฐฯ เพ่งเล็งการป้องกันการสวมสิทธิ์ (Transshipment) อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการที่สินค้าจากประเทศอื่นถูกนำมาส่งผ่านประเทศไทยเพื่อหลบเลี่ยงภาษี รายการดังกล่าว (Watchlist) 49-65 รายการ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, เหล็ก, ผลิตภัณฑ์ยาง, และพลาสติก เป็นต้น
เป็นไปได้ว่าประเด็นความเสี่ยงภาษี 40% จะเป็นแรงกดดันเป็นพิเศษ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเน้นสร้างหลักฐานชัดเจนเพื่อพิสูจน์การเพิ่มพูนมูลค่าในประเทศ (Value Added Content) อย่างแท้จริง
ความท้าทายนี้เป็นตัวเร่งให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน สสว.เสนอกกรอบแนวคิด 4Rs ดังนี้
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขยาดย่อม หรือ สสว.