
ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) จำนวนมากในประเทศไทยประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างยากลำบาก จึงมีการส่งเสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 2 ธันวาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือ SME แล้ว
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SME ไทย เป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win” โดยใช้หลัก “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ภายใต้เสาหลักที่ 3 เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้สามารถฟื้นตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งในด้านการจ้างงาน การสร้างรายได้ การลงทุน รวมถึงการเป็นห่วงโซ่อุปทานทำให้เกิดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่สมดุล และเป็นแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาว
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการ SME มากกว่าครึ่งที่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงมุ่งสร้าง Ecosystem ใหม่ ให้ผู้ประกอบการ SME ด้วยมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SME ไทย ทั้งในด้านการเสริมสภาพคล่อง การเพิ่มประสิทธิภาพ และการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ SME ประกอบกับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และซ้ำเติมความเปราะบางของผู้ประกอบการ SME รวมถึงการจ้างงานในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลจึงเร่งช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ภาคธุรกิจหยุดชะงัก
มาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SME ไทย ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 มีรายละเอียดดังนี้
รัฐบาลจะเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนให้ SME ด้วยมาตรการด้านการเงิน ผ่านการดำเนินโครงการสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 7 แห่ง วงเงินรวม 267,000 ล้านบาท ประกอบด้วยมาตรการสินเชื่อวงเงิน 217,000 ล้านบาท และค้ำประกันสินเชื่อวงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win” มีวงเงินโครงการรวม 50,000 ล้านบาท เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SME โดยฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก แบ่งเป็น 3 โครงการย่อย ได้แก่
2. ธนาคารออมสิน ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย วงเงินสินเชื่อรวม 100,000 ล้านบาท เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเสริมสภาพคล่องแก่ภาคธุรกิจ รวมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการลงทุนเพื่อการปรับตัวและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย โดยธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ สำหรับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อไปปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SME แบ่งเป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่
3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินโครงการสินเชื่อสำหรับภาคการเกษตร วงเงินรวม 80,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการ SME ในภาคการเกษตรให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
4. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME วงเงินสินเชื่อรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมผู้ประกอบการ Micro SMEs วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท และผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป วงเงินรายละไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569
5. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ดำเนินโครงการประกันการส่งออก เพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการส่งออกด้วยอัตราเบี้ยประกันพิเศษ และโครงการสินเชื่อ EXIM Expand Shield สำหรับสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการส่งออก วงเงินสินเชื่อ 12,000 ล้านบาท
6. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการมุสลิม วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าฮาลาลส่งออกหรือผู้ผลิตที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ฮาลาล
7. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดำเนินโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท สำหรับการปลูกสร้าง ซื้อ ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง หรือต่อเติม ปรับปรุงซ่อมแซม และเพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการบ้านจัดสรรในภูมิภาค สำหรับปลูกสร้างอาคารและสาธารณูปโภค
การเพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันที่เป็นธรรมด้วยมาตรการด้านภาษี จะดำเนินการ ดังนี้
1. กรมสรรพากร ดำเนินโครงการพี่ช่วยน้อง โดยให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ช่วยสนับสนุนทรัพยากรและเทคโนโลยีให้แก่บริษัทในซัพพลายเชน เพื่อให้ปรับตัวเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะได้รับการคืนภาษีเร็ว และสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น คาดว่ามีผู้ประกอบการ SME จำนวน 1,500 ราย เข้าร่วมโครงการ และคาดว่าจะได้รับคืนภาษีเร็วขึ้น 1,700 ล้านบาทต่อปี และโครงการปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากส่วนกลางแบบ Fast Track ซึ่งจะทำให้ SME เกือบ 20,000 ราย จำนวน 60,000 ล้านบาท ให้ได้รับคืนภาษีเร็วขึ้นภายในสิ้นปี 2568 และในอนาคตจะมีการพิจารณาเชื่อมโยงระบบ PromptBiz กับการให้สินเชื่อ Supply Chain Financing ซึ่งจะทำให้ SME ในซัพพลายเชนมีโอกาสได้รับสินเชื่อมากยิ่งขึ้น
2. กรมศุลกากร ดำเนินมาตรการยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (De Minimis Value : DMV) เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยในประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการ SME ที่เสียภาษีถูกต้อง ให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้
นอกจากมาตรการด้านการเงินและมาตรการด้านภาษีแล้ว รัฐบาลจะเพิ่มโอกาสให้ SME ผ่านมาตรการอื่น ๆ ดังนี้
1. กรมบัญชีกลาง ดำเนินมาตรการสนับสนุนคู่ค้าภาครัฐโดยการให้สินเชื่อกับคู่ค้าภาครัฐผ่านระบบ PromptBiz ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังทดลองให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Government Procurement : e-GP) และข้อมูลการเบิกจ่ายเงินจากระบบ New GFMIS Thai เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการ ประกอบกับจะมีการโอนสิทธิการรับเงินให้กับธนาคารหรือบุคคลที่ 3 ได้ ซึ่งจะทำให้ SME และผู้ประกอบการคู่ค้าภาครัฐสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องได้ง่ายขึ้น
และมีแนวทางการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการ SME สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยกำหนดให้มีการให้แต้มต่อทางด้านราคาเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อีกร้อยละ 5 สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่มีรายรับไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปีบัญชี อีกทั้งได้รับอนุมัติให้ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์จากระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงและแข่งขันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้
2. กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างพิจารณาจัดตั้ง E-commerce Platform ของประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยมี E-commerce Platform เป็นของคนไทยเอง เพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อน และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการค้าหรือให้บริการผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวอีกว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเล็งเห็นความสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ซึ่งเปรียบเสมือนรากฐานของระบบเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วนในทุกมิติ และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็วทันการณ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวสามารถกลับมาดำเนินชีวิตและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติโดยเร็ว
นอกจากนั้น รองนายกฯ และ รมว.คลังบอกอีกว่า การดำเนินมาตรการ Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจภาพรวมผ่านการสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นการลงทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการสร้าง ecosystem ใหม่ให้กับ SME ของไทย รวมถึงการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานทำให้เกิดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและร่วมกันขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยให้เติบโต ซึ่งเชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถตอบโจทย์นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล และคาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ ดังนี้
สำหรับ SME ที่ต้องการเข้าร่วมมาตรการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่