Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ไทยพร้อมแค่ไหน? จัดแข่ง F1  คำถามชวนคิด จากนักแข่งรถไทย
โดย : ปาณิสรา สุทธิกาญจนวงศ์

ไทยพร้อมแค่ไหน? จัดแข่ง F1 คำถามชวนคิด จากนักแข่งรถไทย

23 มิ.ย. 68
15:58 น.
แชร์

สร้างเสียงฮือฮาอย่างมาก หลังครม.เคาะ ทุ่มเงินกว่า 40,000 ล้านบาท เพื่อเสนอให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ฟอร์มูล่า วัน (Formula 1) หรือ F1 เป็นครั้งแรกในปี 2571 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า

เชื่อว่าเมื่อเราคนไทยอย่างเราได้ทราบข่าวนี้ เป็นต้องตื่นเต้นและดีใจทุกคน เพราะนี่คือ Mega Project ครั้งใหญ่ที่เปรียบเสมือนกับ “โอลิมปิกของวงการรถแข่ง เพราะ F1 สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการแข่งขันรถได้จากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางมายังประเทศไทยได้

หากเกิดขึ้นจริง นั่นแปลว่า F1 จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 300,000 คน/ปี สร้างเงินสะพัดกว่า 14,000 ล้านบาท/ปีให้แก่เศรษฐกิจไทย เกิดการลงทุนใหม่กว่า 7,000 ล้านบาท/ปี สร้างอาชีพเพิ่มขึ้น 8,000 ตำแหน่ง/ปี และทั้งหมดนี่จะกลายเป็น ‘โอกาสทอง’ ของประเทศไทย ในการเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยเป็นประเทศที่พร้อมต่อการจัดงานระดับนานาชาติ เหมือนกับที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้เราเป็น “World Class Event Hub”

แต่คำถามก็คือ ประเทศไทยพร้อมจริงหรือไม่ ? ถนนหนทางที่เจอแต่ความขรุขระ รวมไปถึงคุณภาพชีวิตของคนกรุงที่ยังบ่นกันอย่างหนาหู ศักยภาพเราของประเทศเรานั้นพร้อมสำหรับเวทีระดับโลกแล้วใช่ไหม?

บทความนี้ ทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณวีรวิชญ์ วงศ์แสงอนันต์ นักเเข่งรถไทย ที่คลุกคลีในวงการแข่งรถมากว่า 10 ปี  ที่ชวนทุกคนมาตั้งคำถามไทยพร้อมแค่ไหนในการเป็นเจ้าภาพจัดแข่ง F1?

F1 รายการในฝันของนักแข่งทุกคน

"F1 คือรายการในฝัน มันคือเป้าหมายที่สูงที่สุดของชีวิตนักแข่ง" นี่คือคำพูดของคุณวีรวิชญ์ ที่ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังถึงความฝันของตนเองที่อยากไปเป็นหนึ่งในนักแข่งในรายการ F1

หากใครที่ยังจิตนาการภาพไม่ออกว่า F1 ยิ่งใหญ่แค่ไหน ลองคิดภาพตามง่ายๆ อย่างถ้าเราเป็นนักกีฬาเราก็คงอยากได้เหรียญทองโอลิมปิก หากเราเป็นนักเทนิสก็คงอยากไปแชมป์แกรนด์สแลม หรือหากถ้าเราเป็นเชฟเราก็คงอยากได้ดาวมิชลิน ซึ่งสำหรับนักแข่งรถแล้ว รายการ F1 เป็นเหมือนจุดสูงสูงในสายอาชีพที่อยากพิชิต เพราะนี่ไม่ใช่แค่เพียงแต่ชื่อเสียงที่จะได้มา แต่นั้นหมายถึงโอกาสที่จะทำเงินได้อย่างมหาศาล

F1 ถือได้ว่าเป็นสุดของรายการการแข่งขันรถยนต์ ด้วยความสุดยอดของเครื่องยนต์ ความเร็ว และการโชว์ความก้าวหน้ามนทางวิศวกรรม ซึ่งมีทีมเพียงแค่ 10 ทีมเท่านั้นบนโลก และมีนักแข่งเพียงแค่ 20 คนเท่านั้นที่สามารถชิงเก้าอี้ใน 24 สนาม

นั่นเท่ากับว่านี่คือความ exclusive ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส (ที่ไม่ใช่นักแข่งทุกประเทศได้ส่องแสง)

ดังนั้นการที่ประเทศไทยจะกลายเป็นหนึ่งในเจ้าภาพในการจัด F1 ยิ่งสร้างความตื่นเต้นให้แก่วงการนักแข่งไทยเป็นอย่างมาก

F1 มาจัดที่ไทย แต่ไทยพร้อมหรือยัง?

เมื่อถามคุณวีรวิชญ์ ถึงข่าวที่รัฐบาลกำลังจีบให้ F1 มาจัดการแข่งขันที่ไทย คุณวีรวิชญ์ได้เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า “ตื่นเต้นและดีใจมากๆหาก F1 มาจัดที่ไทย แต่ยังจินตนาการภาพไม่ออกว่ามันจะเป็นอย่างไร” พร้อมกับขยายความว่าเรื่องนี่เราต้องแยกเป็น 2 ประเด็น นั้นก็คือเรื่องความรู้สึก และ ความเป็นจริง

หากถามถึงเรื่อง'ความรู้สึก' แน่นอนว่านักแข่งรถไทยตื่นเต้นกันทุกคน เพราะเชื่อว่านักแข่งทุกคนเคยมีโอกาสไปดู F1 ตามประเทศต่างๆที่เป็นเจ้าภาพ อย่างคุณวีรวิชญ์ เคยมีโอกาสไปดู F1 ที่สิงคโปร์

แม้จะเคยดู F1 ที่สิงคโปร์เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นอายุเพียงแค่ 12 ปี แต่เชื่อหรือไม่ว่าตนยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี เพราะทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สร้างความประทับใจให้ตนอย่างมากในฐานะเด็กไทยที่เริ่มต้นการแข่งรถ

“จำได้ว่าตอนที่ไปที่สิงคโปร์เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ตั้งใจจะไปดู F1 เพราะตอนนั้นเพิ่งเริ่มเข้าวงการแข่งรถในไทย แต่พอไปถึงตั้งแต่สนามบินหรือว่าไปเที่ยวเกาะ santosa ที่ค่อนข้างไกลกลับสนามแข่ง ตนกลับรู้สึกถึงความตื่นเต้น เหมือนกับว่ามันคืองานใหญ่ของประเทศเขา ทุกคนคุยกันแต่เรื่อง F1 การตกแต่งก็สนามบินก็มีแต่ F1 แล้วสิงคโปร์มันเล็กมาก เขาจัดงานทีหนึ่งคือเหมือนแทบจะปิดกันทั้งเมือง”

อีกหนึ่งความรู้สึกที่ตนยังประทับใจจนทุกถึงวันนี้ คือการได้ไปดู F1 ให้เห็นกับตาและได้ไปพูดคุยกับแฟนๆ F1 ที่เชียร์กันอยู่ข้างสนาม “เหมือนกับว่าเราเจอเพื่อนที่ชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน คุยกันถูกคอมาก และมันทำให้เรามีพลังในการกลับมาแข่งที่ไทย”

และตนเชื่อว่าหาก F1 มาได้มาจัดที่ไทย จะเป็นข้อดีสำหรับวงการแข่งรถ เพราะคนไทยรู้จัก motor sport มากขึ้น และจะทำให้วงการรถแข่งมีความคึกคักมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ส่วนในเรื่อง'ความเป็นจริง' หาก F1 จะมาจัดที่ไทย คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า พอได้รู้ข่าวหนึ่งคำถามที่เข้ามาในความคิดทันทีคือ ‘ถนน’

เพราะต้องยอมรับว่า ‘ถนน’ ที่ไทยยังเป็นคงเป็นปัญหาอย่างมากทั้งในเรื่องของความเรียบเนียนของพื้นถนน รถยนต์ที่เราขับกันธรรมดาหากขับไม่ดียังอาจเกิดปัญหาได้ แต่นี่คือรถ F1 รถแข่งที่เตี้ยมากๆ ถ้าถนนมีหลุมเพียงแค่นิดเดียวรถอาจจะพังได้เลย

คำถามต่อไปคือเรื่อง ‘งบประมาณ’ แม้ว่าครม.จะเคาะวางกรอบวงเงินดำเนินการกว่า 40,000 ล้านบาท เป็นการแบ่งชำระเป็นรายปี ตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่คุณวีรวิชญ์ยังได้ตั้งข้อสังสัยอีกว่า หากเราทุ่มเงินไปกับเพื่อจัดการกับถนนหนทาง ต้องใช้เวลานานแค่ไหน หากรัฐบาลทุ่มงบไปมันจะคุ้มทุนหรือเปล่า?

และคำถามสุดท้ายคือเรื่อง ‘ความพร้อมของคนไทย’ คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่าความพร้อมในที่นี่นั้นมีหลายองค์ประกอบ ทั้งในเรื่องของ การปิดถนนทั้งในการก่อสร้างและวันแข่ง เพราะก็ต้องยอมรับประเทศไทยมีปัญหาในเรื่องของจราจร คนกรุงเทพทุกคนต้องเผชิญกับปัญหารถติดที่แก้ไม่ได้สักที หากรัฐบาลจะต้องทำถนนใหม่ย่อมต้องมีการปิดถนนเพื่อก่อสร้าง ชาวบ้านที่อยู่ในระแวกที่จัดงานจะโอเคไหม หากไม่สามารถเดินทางได้ตามปกติในช่วงระหว่างการทำถนนและวันแข่งจริง อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง 'มลภาวะทางเสียง' (Noise Pollution) 

คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าว่า หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเวลาแข่ง F1 ทีเสียงดังมากถึงขนาดที่ว่าคนที่อยู่ในสนามต้องใช้ปลั๊กอุดหู (earplugs) หรือ ที่ครอบหู (earmuffs) เพื่อป้องกันหูของตัวเอง จากประสบการณ์ที่ตนได้ไปดูการแข่งขัน F1 ที่สิงคโปร์ แม้ว่าจะเดินเล่นในเมืองแต่กลับได้ยินเสียงของรถแข่ง F1 แม้ตัวสนามอยู่ห่างไกลกันเป็นโยก พร้อมกับกล่าวว่า “ตนไม่เคยได้ยินเสียงรถอะไรที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต”

F1 มาไทย โอกาสของนักแข่งไทยที่ได้โชว์ศักยภาพของตัวเอง

คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ถ้า F1มาไทยจริงๆ นี่คือโอกาสทองมันเป็นโอกาสที่ดี ที่เราในฐานะนักแข่งรถไทยตัวเล็กๆจะได้มีโอกาสแข่งบนสนามเดียวกันกับ F1 กับนักแข่งที่มีแค่ 20 คนบนโลก”

คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าเสริมว่า ปกติเวลามีการแข่งขัน F1 มันไม่ใช่แค่การแข่งขัน F1อย่างเดียว แต่มันจะมีการแข่งขันหรือโชว์อื่นๆก่อนหน้า อย่างเช่น เวลาที่เราไป music festival ดีเจตัวท็อปๆจะโชว์เป็นคนสุดท้ายซึ่งเวลาก่อนหน้านั้นจะมีดีเจที่เป็นดาวรุ่ง หรือดีเจที่ยังไม่ดังเท่ามาขึ้นโชว์ก่อน

เช่นเดียวกันกับ F1 ตนเชื่อว่าหากมาที่ไทย เขาจะต้องมี support race รายการที่ตนแข่งอาจจะไปร่วมกับ F1 เพื่อจัด support race (เช่น F1 จัดการแข่งขันตอนกลางคืน แต่สนามในตอนเช้าหรือกลางวัน อาจให้นักแข่งไทยได้ทดลองสนาม ได้แข่งกันจริงๆก่อน)

ชีวิตนักแข่งรถไทย ที่น้อยคนจะสร้างเงิน สร้างอาชีพได้

“การที่ F1 มาจัดที่ไทย มันเหมือนการสร้าง inspiration ให้กับนักแข่งเด็กๆในไทย ว่าสิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาใฝ่ฝัน มันสามารถเป็นอาชีพได้จริงๆ เพราะก็ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่นักแข่งในไทยมันคือกิจกรรมยามว่าง มันคือ hobby มากกว่าที่จะเป็นอาชีพ ส่วนตัวยังมองไม่เห็นจริงๆว่าการแข่งรถที่ไทยมันสามารถเป็นอาชีพได้ เลี้ยงดูตัวเองได้”

เมื่อถามถึงชีวิตนักแข่งรถในประเทศไทย คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า นักแข่งในไทยต้องยอมรับน้อยคนมากที่สามารถเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว จากประสบการณ์ที่เจอมาส่วนใหญ่นักแข่งไทยมักเลือกแข่งรถเป็น Hobby หรือกิจกรรมยามว่าง หรือบางคนเป็นอาชีพเสริม ที่ไม่ใช่อาชีพหลัก

ปัญหาส่วนใหญ่คือเรื่อง ‘การหาเงินทุนจากสปอนเซอร์’ คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าเสริมว่า “การแข่งรถเริ่มต้นในไทย เริ่มได้ แต่เราต้องพรีเซนต์ตัวเองยังไงให้มีสปอนเซอร์เพื่อสามารถไปขับในต่างประเทศให้ได้ และคนที่ถูกเลือกจะต้องเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์จริงๆ สปอนเซอร์ถึงจะกล้าสนับสนุนเพราะต้องยอมรับว่าการแข่งรถ เป็นกีฬาที่ใช้เงินสูงมาก ส่วนตัวตนใช้เงินเกือบ 3 ล้าน/ปี”

เปิดรายละเอียด หาก F1 มาไทย จัดที่ไหน ใครได้ประโยชน์ ?

การจัดงานแข่งขัน : จำนวน 3 วันต่อปี เป็นเวลา 5 ปี (ตั้งแต่ปี 2571 - 2575)
- ตรงกับวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ของเดือนมีนาคมหรือเดือนกันยายน

8 พื้นที่ที่มีศักยภาพในการจัดการแข่งขัน F1

พื้นที่บริเวณจตุจักรประกอบด้วย 8 พื้นที่หลัก ได้แก่
- พื้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 838 ไร่
- พื้นที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 มีขนาดพื้นที่ประมาณ 109 ไร่
- พื้นที่ตลาดนัดจตุจักร มีขนาดพื้นที่ประมาณ 241 ไร่
- พื้นที่สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 207 ไร่
- พื้นที่สวนจตุจักร มีขนาดพื้นที่ประมาณ 163 ไร่
- พื้นที่สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) มีขนาดพื้นที่ประมาณ 418 ไร่
- พื้นที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีขนาดพื้นที่ประมาณ 45 ไร่
- พื้นที่การรถไฟแห่งประเทศไทย มีขนาดพื้นที่ประมาณ 146 ไร่

แผนการใช้งานพื้นที่

สำหรับการจัดงาน   - จุด Safety/Ticket Check กระจายอยู่ในจุดต่าง ๆ ภายในสนามแข่งขัน ได้แก่พื้นที่สวนจตุจักร สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) และสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และกระจายอยู่พื้นที่โดยรอบสนามแข่งขัน ได้แก่ บริเวณตลาดนัดจตุจักร บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต 2 บริเวณพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และบริเวณพื้นที่จอดรถของสวนจตุจักร
พื้นที่ Fan Zone ประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และกิจกรรม
1) ภายในสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ขนาดพื้นที่ 53,440 ตารางเมตร
2) ภายในสวนจตุจักร ขนาดพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร 
3) ภายในสวนรถไฟขนาดพื้นที่ 13,000 ตารางเมตร 
4) พื้นที่บริเวณทิศตะวันตกของสถานีขนส่งหมอชิต 2 ขนาดพื้นที่ 22,000 ตารางเมตร
- พื้นที่ Grandstand เป็นที่นั่งบนอัฒจันทร์ที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ชมทั่วไปเพื่อชมการแข่งขัน กระจายตามจุดต่างๆ ของสนาม มีจำนวน 93,500 ที่นั่ง
- พื้นที่ Paddock Club เป็นพื้นที่โซน VIP ตั้งอยู่บนอาคาร Pit Lane มีจำนวน
  4,000 ที่นั่ง
- พื้นที่ VIP Hospitality เป็นพื้นที่โซน VIP โดยเป็นที่นั่งบนอัฒจันทร์ Grandstand ในตำแหน่งพิเศษ
การเข้าถึงพื้นที่

คาดการณ์ผู้ชมกว่า 5 แสนราย สร้างเงินสะพัดเพิ่มขึ้น 14,000 ล้านบาทต่อปี

ผลการคาดการณ์จำนวนผู้เข้าร่วมงาน Formula One ในประเทศไทย ในกรณีที่มีการจัดงานในปี 2571 (ค.ศ. 2028) โดยพิจารณาสัดส่วนของผู้เข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ Formula One จากจำนวนนักท่องเที่ยว ภายในประเทศและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศของ 21 เมือง/ประเทศเจ้าภาพ พบว่า มีความเป็นไปได้ในระดับสูงที่จะมีจำนวนผู้เข้าร่วมงาน Formula One ในประเทศไทยในปี 2571 ที่ค่าเฉลี่ยจำนวน 407,132 ราย โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานต่ำสุด อยู่ที่ 81,918 ราย และสูงสุดอยู่ที่ 598,983 ราย 

ทางเศรษฐกิจ    

- ในช่วงปี 2571 - 2575 จะมีผู้เข้าชมการแข่งขันรถยนต์ Formula One จำนวน
  99,875 ต่อวัน จำนวน 3 วัน รวมทั้งสิ้น 299,625 คนต่อปี (สัดส่วนนักท่องเที่ยว
  ชาวไทย : นักท่องเที่ยวต่างชาติ = 70 : 30)
- ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และบริการขนส่ง ทำให้เงินสะพัดทางเศรษฐกิจระหว่างการจัดการแข่งขันเฉลี่ยอยู่ที่ 16,000 ล้านบาทต่อปี
- ส่งผลให้มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14,000 ล้านบาทต่อปี
- สร้างรายได้จากการจัดเก็บภาษีภาครัฐเฉลี่ย 1,400 ล้านบาทต่อปี
- เกิดการลงทุนใหม่เฉลี่ยประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อปี สร้างงานใหม่ในประเทศไทยประมาณ 8,000 ตำแหน่งต่อปี

ทางสังคม  

- เกิดการพัฒนาเมืองและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เป็นตัวเร่งการ พัฒนาเมืองโดยเฉพาะเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และช่วยให้เกิดการปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบขนส่งมวลชน ดิจิทัล การเงิน ซึ่งจะช่วย
 ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
- สร้างโอกาสในการจ้างแรงงานหลากหลายระดับ ตั้งแต่แรงงานไร้ฝีมือไปจนถึง แรงงานที่มีทักษะสูง เช่น วิศวกรสนามแข่ง
- เกิดการกระจายรายได้ไปยังประชาชนในระดับต่าง ๆ สู่ชุมชนท้องถิ่น เสริมสร้าง คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม
- กระตุ้นความสนใจด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี และ STEM Education ในกลุ่มเยาวชน เนื่องจากการแข่งขันรถยนต์ Formula One แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของวิศวกรรม เครื่องกล และอากาศพลศาสตร์
- ส่งเสริม Soft Power และเสริมสร้างอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจของชาติ เช่น ช่วยเผยแพร่เอกลักษณ์ของประเทศผ่านวัฒนธรรม อาหาร และศิลปะ สร้างภาพลักษณ์และความภาคภูมิใจ และประชาชนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเวทีระดับโลก
- เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เช่น สร้างโอกาสในการส่งเสริมวัฒนธรรม ท้องถิ่นผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เทศกาลดนตรี เทศกาลอาหาร และนิทรรศการทางวัฒนธรรม
- ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและแฟนกีฬาชนิดอื่น

อ้างอิง : กรมประชาสัมพันธ์

รูปภาพทั้งหมด

ไทยพร้อมแค่ไหน? จัดแข่ง F1  คำถามชวนคิด จากนักแข่งรถไทย
แชร์
ไทยพร้อมแค่ไหน? จัดแข่ง F1  คำถามชวนคิด จากนักแข่งรถไทย