สร้างเสียงฮือฮาอย่างมาก หลังครม.เคาะ ทุ่มเงินกว่า 40,000 ล้านบาท เพื่อเสนอให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ฟอร์มูล่า วัน (Formula 1) หรือ F1 เป็นครั้งแรกในปี 2571 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า
เชื่อว่าเมื่อเราคนไทยอย่างเราได้ทราบข่าวนี้ เป็นต้องตื่นเต้นและดีใจทุกคน เพราะนี่คือ Mega Project ครั้งใหญ่ที่เปรียบเสมือนกับ “โอลิมปิกของวงการรถแข่ง” เพราะ F1 สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการแข่งขันรถได้จากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางมายังประเทศไทยได้
หากเกิดขึ้นจริง นั่นแปลว่า F1 จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 300,000 คน/ปี สร้างเงินสะพัดกว่า 14,000 ล้านบาท/ปีให้แก่เศรษฐกิจไทย เกิดการลงทุนใหม่กว่า 7,000 ล้านบาท/ปี สร้างอาชีพเพิ่มขึ้น 8,000 ตำแหน่ง/ปี และทั้งหมดนี่จะกลายเป็น ‘โอกาสทอง’ ของประเทศไทย ในการเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยเป็นประเทศที่พร้อมต่อการจัดงานระดับนานาชาติ เหมือนกับที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้เราเป็น “World Class Event Hub”
แต่คำถามก็คือ ประเทศไทยพร้อมจริงหรือไม่ ? ถนนหนทางที่เจอแต่ความขรุขระ รวมไปถึงคุณภาพชีวิตของคนกรุงที่ยังบ่นกันอย่างหนาหู ศักยภาพเราของประเทศเรานั้นพร้อมสำหรับเวทีระดับโลกแล้วใช่ไหม?
บทความนี้ ทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณวีรวิชญ์ วงศ์แสงอนันต์ นักเเข่งรถไทย ที่คลุกคลีในวงการแข่งรถมากว่า 10 ปี ที่ชวนทุกคนมาตั้งคำถามไทยพร้อมแค่ไหนในการเป็นเจ้าภาพจัดแข่ง F1?
"F1 คือรายการในฝัน มันคือเป้าหมายที่สูงที่สุดของชีวิตนักแข่ง" นี่คือคำพูดของคุณวีรวิชญ์ ที่ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังถึงความฝันของตนเองที่อยากไปเป็นหนึ่งในนักแข่งในรายการ F1
หากใครที่ยังจิตนาการภาพไม่ออกว่า F1 ยิ่งใหญ่แค่ไหน ลองคิดภาพตามง่ายๆ อย่างถ้าเราเป็นนักกีฬาเราก็คงอยากได้เหรียญทองโอลิมปิก หากเราเป็นนักเทนิสก็คงอยากไปแชมป์แกรนด์สแลม หรือหากถ้าเราเป็นเชฟเราก็คงอยากได้ดาวมิชลิน ซึ่งสำหรับนักแข่งรถแล้ว รายการ F1 เป็นเหมือนจุดสูงสูงในสายอาชีพที่อยากพิชิต เพราะนี่ไม่ใช่แค่เพียงแต่ชื่อเสียงที่จะได้มา แต่นั้นหมายถึงโอกาสที่จะทำเงินได้อย่างมหาศาล
F1 ถือได้ว่าเป็นสุดของรายการการแข่งขันรถยนต์ ด้วยความสุดยอดของเครื่องยนต์ ความเร็ว และการโชว์ความก้าวหน้ามนทางวิศวกรรม ซึ่งมีทีมเพียงแค่ 10 ทีมเท่านั้นบนโลก และมีนักแข่งเพียงแค่ 20 คนเท่านั้นที่สามารถชิงเก้าอี้ใน 24 สนาม
นั่นเท่ากับว่านี่คือความ exclusive ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส (ที่ไม่ใช่นักแข่งทุกประเทศได้ส่องแสง)
ดังนั้นการที่ประเทศไทยจะกลายเป็นหนึ่งในเจ้าภาพในการจัด F1 ยิ่งสร้างความตื่นเต้นให้แก่วงการนักแข่งไทยเป็นอย่างมาก
เมื่อถามคุณวีรวิชญ์ ถึงข่าวที่รัฐบาลกำลังจีบให้ F1 มาจัดการแข่งขันที่ไทย คุณวีรวิชญ์ได้เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า “ตื่นเต้นและดีใจมากๆหาก F1 มาจัดที่ไทย แต่ยังจินตนาการภาพไม่ออกว่ามันจะเป็นอย่างไร” พร้อมกับขยายความว่าเรื่องนี่เราต้องแยกเป็น 2 ประเด็น นั้นก็คือเรื่องความรู้สึก และ ความเป็นจริง
หากถามถึงเรื่อง'ความรู้สึก' แน่นอนว่านักแข่งรถไทยตื่นเต้นกันทุกคน เพราะเชื่อว่านักแข่งทุกคนเคยมีโอกาสไปดู F1 ตามประเทศต่างๆที่เป็นเจ้าภาพ อย่างคุณวีรวิชญ์ เคยมีโอกาสไปดู F1 ที่สิงคโปร์
แม้จะเคยดู F1 ที่สิงคโปร์เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นอายุเพียงแค่ 12 ปี แต่เชื่อหรือไม่ว่าตนยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี เพราะทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สร้างความประทับใจให้ตนอย่างมากในฐานะเด็กไทยที่เริ่มต้นการแข่งรถ
“จำได้ว่าตอนที่ไปที่สิงคโปร์เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ตั้งใจจะไปดู F1 เพราะตอนนั้นเพิ่งเริ่มเข้าวงการแข่งรถในไทย แต่พอไปถึงตั้งแต่สนามบินหรือว่าไปเที่ยวเกาะ santosa ที่ค่อนข้างไกลกลับสนามแข่ง ตนกลับรู้สึกถึงความตื่นเต้น เหมือนกับว่ามันคืองานใหญ่ของประเทศเขา ทุกคนคุยกันแต่เรื่อง F1 การตกแต่งก็สนามบินก็มีแต่ F1 แล้วสิงคโปร์มันเล็กมาก เขาจัดงานทีหนึ่งคือเหมือนแทบจะปิดกันทั้งเมือง”
อีกหนึ่งความรู้สึกที่ตนยังประทับใจจนทุกถึงวันนี้ คือการได้ไปดู F1 ให้เห็นกับตาและได้ไปพูดคุยกับแฟนๆ F1 ที่เชียร์กันอยู่ข้างสนาม “เหมือนกับว่าเราเจอเพื่อนที่ชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน คุยกันถูกคอมาก และมันทำให้เรามีพลังในการกลับมาแข่งที่ไทย”
และตนเชื่อว่าหาก F1 มาได้มาจัดที่ไทย จะเป็นข้อดีสำหรับวงการแข่งรถ เพราะคนไทยรู้จัก motor sport มากขึ้น และจะทำให้วงการรถแข่งมีความคึกคักมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ส่วนในเรื่อง'ความเป็นจริง' หาก F1 จะมาจัดที่ไทย คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า พอได้รู้ข่าวหนึ่งคำถามที่เข้ามาในความคิดทันทีคือ ‘ถนน’
เพราะต้องยอมรับว่า ‘ถนน’ ที่ไทยยังเป็นคงเป็นปัญหาอย่างมากทั้งในเรื่องของความเรียบเนียนของพื้นถนน รถยนต์ที่เราขับกันธรรมดาหากขับไม่ดียังอาจเกิดปัญหาได้ แต่นี่คือรถ F1 รถแข่งที่เตี้ยมากๆ ถ้าถนนมีหลุมเพียงแค่นิดเดียวรถอาจจะพังได้เลย
คำถามต่อไปคือเรื่อง ‘งบประมาณ’ แม้ว่าครม.จะเคาะวางกรอบวงเงินดำเนินการกว่า 40,000 ล้านบาท เป็นการแบ่งชำระเป็นรายปี ตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่คุณวีรวิชญ์ยังได้ตั้งข้อสังสัยอีกว่า หากเราทุ่มเงินไปกับเพื่อจัดการกับถนนหนทาง ต้องใช้เวลานานแค่ไหน หากรัฐบาลทุ่มงบไปมันจะคุ้มทุนหรือเปล่า?
และคำถามสุดท้ายคือเรื่อง ‘ความพร้อมของคนไทย’ คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่าความพร้อมในที่นี่นั้นมีหลายองค์ประกอบ ทั้งในเรื่องของ การปิดถนนทั้งในการก่อสร้างและวันแข่ง เพราะก็ต้องยอมรับประเทศไทยมีปัญหาในเรื่องของจราจร คนกรุงเทพทุกคนต้องเผชิญกับปัญหารถติดที่แก้ไม่ได้สักที หากรัฐบาลจะต้องทำถนนใหม่ย่อมต้องมีการปิดถนนเพื่อก่อสร้าง ชาวบ้านที่อยู่ในระแวกที่จัดงานจะโอเคไหม หากไม่สามารถเดินทางได้ตามปกติในช่วงระหว่างการทำถนนและวันแข่งจริง อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง 'มลภาวะทางเสียง' (Noise Pollution)
คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าว่า หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเวลาแข่ง F1 ทีเสียงดังมากถึงขนาดที่ว่าคนที่อยู่ในสนามต้องใช้ปลั๊กอุดหู (earplugs) หรือ ที่ครอบหู (earmuffs) เพื่อป้องกันหูของตัวเอง จากประสบการณ์ที่ตนได้ไปดูการแข่งขัน F1 ที่สิงคโปร์ แม้ว่าจะเดินเล่นในเมืองแต่กลับได้ยินเสียงของรถแข่ง F1 แม้ตัวสนามอยู่ห่างไกลกันเป็นโยก พร้อมกับกล่าวว่า “ตนไม่เคยได้ยินเสียงรถอะไรที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต”
คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ถ้า F1มาไทยจริงๆ นี่คือโอกาสทองมันเป็นโอกาสที่ดี ที่เราในฐานะนักแข่งรถไทยตัวเล็กๆจะได้มีโอกาสแข่งบนสนามเดียวกันกับ F1 กับนักแข่งที่มีแค่ 20 คนบนโลก”
คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าเสริมว่า ปกติเวลามีการแข่งขัน F1 มันไม่ใช่แค่การแข่งขัน F1อย่างเดียว แต่มันจะมีการแข่งขันหรือโชว์อื่นๆก่อนหน้า อย่างเช่น เวลาที่เราไป music festival ดีเจตัวท็อปๆจะโชว์เป็นคนสุดท้ายซึ่งเวลาก่อนหน้านั้นจะมีดีเจที่เป็นดาวรุ่ง หรือดีเจที่ยังไม่ดังเท่ามาขึ้นโชว์ก่อน
เช่นเดียวกันกับ F1 ตนเชื่อว่าหากมาที่ไทย เขาจะต้องมี support race รายการที่ตนแข่งอาจจะไปร่วมกับ F1 เพื่อจัด support race (เช่น F1 จัดการแข่งขันตอนกลางคืน แต่สนามในตอนเช้าหรือกลางวัน อาจให้นักแข่งไทยได้ทดลองสนาม ได้แข่งกันจริงๆก่อน)
“การที่ F1 มาจัดที่ไทย มันเหมือนการสร้าง inspiration ให้กับนักแข่งเด็กๆในไทย ว่าสิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาใฝ่ฝัน มันสามารถเป็นอาชีพได้จริงๆ เพราะก็ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่นักแข่งในไทยมันคือกิจกรรมยามว่าง มันคือ hobby มากกว่าที่จะเป็นอาชีพ ส่วนตัวยังมองไม่เห็นจริงๆว่าการแข่งรถที่ไทยมันสามารถเป็นอาชีพได้ เลี้ยงดูตัวเองได้”
เมื่อถามถึงชีวิตนักแข่งรถในประเทศไทย คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า นักแข่งในไทยต้องยอมรับน้อยคนมากที่สามารถเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว จากประสบการณ์ที่เจอมาส่วนใหญ่นักแข่งไทยมักเลือกแข่งรถเป็น Hobby หรือกิจกรรมยามว่าง หรือบางคนเป็นอาชีพเสริม ที่ไม่ใช่อาชีพหลัก
ปัญหาส่วนใหญ่คือเรื่อง ‘การหาเงินทุนจากสปอนเซอร์’ คุณวีรวิชญ์ ได้เล่าเสริมว่า “การแข่งรถเริ่มต้นในไทย เริ่มได้ แต่เราต้องพรีเซนต์ตัวเองยังไงให้มีสปอนเซอร์เพื่อสามารถไปขับในต่างประเทศให้ได้ และคนที่ถูกเลือกจะต้องเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์จริงๆ สปอนเซอร์ถึงจะกล้าสนับสนุนเพราะต้องยอมรับว่าการแข่งรถ เป็นกีฬาที่ใช้เงินสูงมาก ส่วนตัวตนใช้เงินเกือบ 3 ล้าน/ปี”
การจัดงานแข่งขัน : จำนวน 3 วันต่อปี เป็นเวลา 5 ปี (ตั้งแต่ปี 2571 - 2575)
- ตรงกับวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ของเดือนมีนาคมหรือเดือนกันยายน
สำหรับการจัดงาน - จุด Safety/Ticket Check กระจายอยู่ในจุดต่าง ๆ ภายในสนามแข่งขัน ได้แก่พื้นที่สวนจตุจักร สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) และสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และกระจายอยู่พื้นที่โดยรอบสนามแข่งขัน ได้แก่ บริเวณตลาดนัดจตุจักร บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต 2 บริเวณพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และบริเวณพื้นที่จอดรถของสวนจตุจักร
พื้นที่ Fan Zone ประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และกิจกรรม
1) ภายในสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ขนาดพื้นที่ 53,440 ตารางเมตร
2) ภายในสวนจตุจักร ขนาดพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร
3) ภายในสวนรถไฟขนาดพื้นที่ 13,000 ตารางเมตร
4) พื้นที่บริเวณทิศตะวันตกของสถานีขนส่งหมอชิต 2 ขนาดพื้นที่ 22,000 ตารางเมตร
- พื้นที่ Grandstand เป็นที่นั่งบนอัฒจันทร์ที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ชมทั่วไปเพื่อชมการแข่งขัน กระจายตามจุดต่างๆ ของสนาม มีจำนวน 93,500 ที่นั่ง
- พื้นที่ Paddock Club เป็นพื้นที่โซน VIP ตั้งอยู่บนอาคาร Pit Lane มีจำนวน
4,000 ที่นั่ง
- พื้นที่ VIP Hospitality เป็นพื้นที่โซน VIP โดยเป็นที่นั่งบนอัฒจันทร์ Grandstand ในตำแหน่งพิเศษ
การเข้าถึงพื้นที่
ผลการคาดการณ์จำนวนผู้เข้าร่วมงาน Formula One ในประเทศไทย ในกรณีที่มีการจัดงานในปี 2571 (ค.ศ. 2028) โดยพิจารณาสัดส่วนของผู้เข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ Formula One จากจำนวนนักท่องเที่ยว ภายในประเทศและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศของ 21 เมือง/ประเทศเจ้าภาพ พบว่า มีความเป็นไปได้ในระดับสูงที่จะมีจำนวนผู้เข้าร่วมงาน Formula One ในประเทศไทยในปี 2571 ที่ค่าเฉลี่ยจำนวน 407,132 ราย โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานต่ำสุด อยู่ที่ 81,918 ราย และสูงสุดอยู่ที่ 598,983 ราย
- ในช่วงปี 2571 - 2575 จะมีผู้เข้าชมการแข่งขันรถยนต์ Formula One จำนวน
99,875 ต่อวัน จำนวน 3 วัน รวมทั้งสิ้น 299,625 คนต่อปี (สัดส่วนนักท่องเที่ยว
ชาวไทย : นักท่องเที่ยวต่างชาติ = 70 : 30)
- ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และบริการขนส่ง ทำให้เงินสะพัดทางเศรษฐกิจระหว่างการจัดการแข่งขันเฉลี่ยอยู่ที่ 16,000 ล้านบาทต่อปี
- ส่งผลให้มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14,000 ล้านบาทต่อปี
- สร้างรายได้จากการจัดเก็บภาษีภาครัฐเฉลี่ย 1,400 ล้านบาทต่อปี
- เกิดการลงทุนใหม่เฉลี่ยประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อปี สร้างงานใหม่ในประเทศไทยประมาณ 8,000 ตำแหน่งต่อปี
- เกิดการพัฒนาเมืองและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เป็นตัวเร่งการ พัฒนาเมืองโดยเฉพาะเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และช่วยให้เกิดการปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบขนส่งมวลชน ดิจิทัล การเงิน ซึ่งจะช่วย
ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
- สร้างโอกาสในการจ้างแรงงานหลากหลายระดับ ตั้งแต่แรงงานไร้ฝีมือไปจนถึง แรงงานที่มีทักษะสูง เช่น วิศวกรสนามแข่ง
- เกิดการกระจายรายได้ไปยังประชาชนในระดับต่าง ๆ สู่ชุมชนท้องถิ่น เสริมสร้าง คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม
- กระตุ้นความสนใจด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี และ STEM Education ในกลุ่มเยาวชน เนื่องจากการแข่งขันรถยนต์ Formula One แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของวิศวกรรม เครื่องกล และอากาศพลศาสตร์
- ส่งเสริม Soft Power และเสริมสร้างอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจของชาติ เช่น ช่วยเผยแพร่เอกลักษณ์ของประเทศผ่านวัฒนธรรม อาหาร และศิลปะ สร้างภาพลักษณ์และความภาคภูมิใจ และประชาชนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเวทีระดับโลก
- เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เช่น สร้างโอกาสในการส่งเสริมวัฒนธรรม ท้องถิ่นผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เทศกาลดนตรี เทศกาลอาหาร และนิทรรศการทางวัฒนธรรม
- ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและแฟนกีฬาชนิดอื่น
อ้างอิง : กรมประชาสัมพันธ์