
นักข่าวต่างประเทศมองว่า การที่ทรัมป์เข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ได้ ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนว่า อำนาจของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็มีจำกัด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กระแสชาตินิยมมาแรงทั้งสองประเทศ
สำนักข่าว Channelnewsasia รายงานบทวิเคราะห์ของ Nirmal Ghosh อดีตนักข่าวต่างประเทศว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาประกาศว่าไทยและกัมพูชาตกลงเข้าสู่การหยุดยิงรอบใหม่แล้ว แต่การสู้รบยังคงเกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา นับเป็นบทเรียนสำคัญที่บ่งชี้ว่า อำนาจและอิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็มีจำกัด
รายงานระบุว่า สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อันยาวนานร่วมกับไทย แต่ในยามที่กระแสชาตินิยมภายในประเทศกำลังทวีความรุนแรง และรัฐบาลไทยมองความขัดแย้งริมชายแดนกับกัมพูชาครั้งนี้ว่าเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของชาติ อิทธิพลของพันธมิตรผู้ทรงพลังอย่างสหรัฐฯ ก็อาจไม่เพียงพอจะชี้นำทิศทางสถานการณ์ได้
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา หลังเพิ่งดำรงตำแหน่งมาได้แค่ 3 เดือนกว่า ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ แต่ก็อาจมีความเป็นไปได้เล็กน้อยว่า การเลือกตั้งอาจถูกเลื่อนออกไป หากความขัดแย้งกับกัมพูชายังคงยืดเยื้อ
ความตึงเครียดตามแนวชายแดนเปิดโอกาสให้นายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีจุดยืนอนุรักษนิยม แสดงบทบาทผู้นำที่แข็งกร้าว และรักษาการสนับสนุนจากกองทัพ ซึ่งยังคงเป็นสถาบันทรงอิทธิพลทางการเมืองของไทย
บทเรียนดังกล่าวสะท้อนจากชะตากรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สูญเสียอำนาจไปก่อนหน้านี้ หลังถูกมองว่ายอมอ่อนข้อให้สมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชาที่ยังคงทรงอำนาจในประเทศ และออกมาวิจารณ์นายทหารระดับสูงของไทยรายหนึ่งจากกรณีพิพาทชายแดน ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม
การปะทะตามแนวชายแดนก่อนหน้านี้ถูกยุติลงอย่างเร่งด่วน หลังสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และสหรัฐฯ เข้ามาไกล่เกลี่ย โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ อ้างบทบาทความสำเร็จของตนเอง และเป็นผู้กำกับดูแลข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งเกิดขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม
อย่างไรก็ตาม แม้การสู้รบจะยุติลง แต่ปัญหารากฐานยังคงไม่ได้รับการคลี่คลาย ทั้งความเป็นปรปักษ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างสองประเทศ และข้อพิพาทเรื่องเส้นพรมแดนที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม
กระแสชาตินิยมก็รุนแรงไม่แพ้กันในฝั่งกัมพูชา ซึ่งสมเด็จฮุน เซน และบุตรชาย นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ต่างเผชิญแรงกดดันให้พิสูจน์ความสามารถในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ
ในขณะเดียวกัน ผู้นำกัมพูชายังพยายามอย่างหนักในการสกัดข้อกล่าวหาว่า ชนชั้นนำของประเทศมีส่วนพัวพันกับเแก๊งหลอกลวงออนไลน์ งานศึกษาหลายชิ้นระบุว่า รายได้จากกลุ่มสแกมเมอร์ที่เข้ามาตั้งฐานในกัมพูชาอาจมีมูลค่าสูงถึงครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของกัมพูชา Nirmal Ghosh มองว่า การที่ธุรกิจสีเทาดังกล่าวจะขยายใหญ่โตได้ขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากชนชั้นนำ
กัมพูชายังกล่าวหาว่า ไทยเลือกโจมตีศูนย์หลอกลวงในพื้นที่ที่นักลงทุนไทยไม่มีผลประโยชน์ นับเป็นการแฝงนัยว่า ไทยเองก็อาจมีส่วนรู้เห็นในอุตสาหกรรมนี้ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งครั้งนี้ก็เปิดโอกาสให้ชนชั้นนำกัมพูชาหันเหความสนใจของสังคมและนานาชาติ ออกจากปัญหาแก๊งหลอกลวงที่ฝังรากลึก
ความขัดแย้งครั้งนี้ยังมีมิติทางภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัมพูชาพึ่งพาจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในฐานะนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุด และผู้จัดหาอาวุธสำคัญ แต่ในขณะเดียวกัน จีนก็แสดงความไม่พอใจต่ออุตสาหกรรมแก๊งหลอกลวง ที่มุ่งเป้าไปยังชาวจีน ทั้งในฐานะแรงงานที่ถูกค้ามนุษย์ และในฐานะเหยื่อของการหลอกลวง
อย่างไรก็ตาม สันติภาพใด ๆ ที่อาจถูกออกแบบหรือผลักดันโดยสหรัฐฯ จีน หรือฝ่ายอื่น ล้วนเป็นเพียงมาตรการเชิงยุทธวิธีเท่านั้น และไม่อาจขจัดรากเหง้าของความขัดแย้งที่สั่งสมมานานได้
กระแสชาตินิยมทั้งสองฝั่งชายแดนยิ่งทวีความรุนแรง ศูนย์แก๊งหลอกลวงและเครือข่ายการเงินของชนชั้นนำกัมพูชาอาจได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ธุรกิจนี้มีความคล่องตัวสูง สามารถย้ายฐานและดำเนินต่อไปได้ในที่อื่น
ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ยังคงเต็มไปด้วยความเสี่ยง “ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์จะประนีประนอม” นักการเมืองไทยรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ “ถ้าคุณยอมอ่อนข้อก่อนเลือกตั้ง ก็จบเกมทันที”
มีความเป็นไปได้สูงว่า หลังจากผลการเลือกตั้งชัดเจนแล้วเท่านั้น ความพยายามรีเซ็ตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองฝ่ายจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นอย่างแท้จริง