Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
คนเมียนมาในไทย 98%  ขอไม่ลงคะแนนเลือกตั้ง เพราะไม่เสรี ไม่ยุติธรรม
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

คนเมียนมาในไทย 98% ขอไม่ลงคะแนนเลือกตั้ง เพราะไม่เสรี ไม่ยุติธรรม

12 ธ.ค. 68
10:37 น.
แชร์

หลังการรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 2564 ซึ่งกองทัพเมียนมาปฏิเสธผลการเลือกตั้งปี 2563 และเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลพลเรือน ภาพที่เราเห็นตามมาคือความรุนแรง การต่อสู้ การปราบปรามอย่างกว้างขวาง มีการก่อตัวขึ้นของกองกำลังหลายกลุ่ม กลายเป็นสงครามการเมือง ความยากจน ปัญหาเศรษฐกิจรุนแรง และวิกฤตสิทธิมนุษยชนที่ผลักให้คนเมียนมากว่ากว่า 1.3 ล้านคนลี้ภัยออกนอกประเทศในปีก่อน (อ้างอิงข้อมูล IOM เดือนธันวาคม 2024) โดยประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่ง ที่ให้ที่พักพิงแก่ชาวเมียนมาราว 4 ล้านคนอ้างอิงจากข้อมูลชุดเดียวกัน

หลังการเข้ายึดอำนาจ รัฐบาลทหารนำโดยมิน อ่องหล่าย ประกาศ “โรดแมป 5 ข้อ” สัญญาจะจัดเลือกตั้งใหม่ และส่งมอบอำนาจให้ผู้ชนะการเลือกตั้ง และแม้การเลือกตั้งตามสัญญาจะถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง โดยเมื่อกลางปีที่ผ่านมา มีการประกาศเลือกตั้งครั้งล่าสุด ระบุว่า จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม 2568

แต่การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้กฎหมาย “ความมั่นคงการเลือกตั้ง” กฎหมายใหม่ ซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่กลับปลุกความกังวลในประเด็นเสรีภาพและทางเลือกของประชาชน เนื่องจากภายใต้กฎหมายนี้ มีพลเรือนกว่า 64 รายถูกดำเนินคดีไปแล้ว มากกว่า 120 คนถูกจับกุม  และการปราบปรามยังดำเนินต่อไป แล้วคนเมียนมาคิดอย่างไรต่อการเลือกตั้ง? พวกเขาคิดว่าการเลือกตั้งจะนำสันติภาพมาให้ประเทศและพาคนพลัดถิ่นกลับบ้านได้หรือไม่

วันที่ 11 ธันวาคม 2568 Burma Affair and Conflict Study เปิดตัวรายงาน RESPECT Myanmar มีสาระสำคัญสำรวจความคิดเห็นผู้อพยพและผู้พลัดถิ่นสัญชาติเมียนมาในประเทศไทยต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นสิ้นเดือนนี้

หนึ่งในผู้จัดทำรายงาน และตัวแทน BACS คริสเตนกล่าวถึงกฎหมาย 4 ข้อหลักที่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้งที่ “เสรีและยุติธรรม”

  1. กฎหมายจดทะเบียนพรรคการเมือง: แบนพรรค NLD (ผู้ชนะปี 2563) และพรรคฝ่ายค้านหลักอื่น ๆ
  2. กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้ง (Election Protection Law): ประกาศเมื่อ 29 กรกฎาคม 2568 จำกัดเสรีภาพและอนุญาตให้ลงโทษรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิตสำหรับการต่อต้านการเลือกตั้งปี 2568
  3. กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์: จำกัดเสรีภาพในการพูดอย่างรุนแรง
  4. กฎหมายเกณฑ์ทหารภาคบังคับ: (กุมภาพันธ์ 2567) ทำให้เยาวชนจำนวนมากต้องหนีออกนอกประเทศหรือถูกส่งไปแนวหน้าจนเสียชีวิต

“ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาก่อนการเลือกตั้งปี 2568 นี้ ตลอด 5 ปีมานี้สิ่งที่พวกเขาทำมีอย่างเดียวคือ การปราบปรามที่เป็นระบบและโหดร้าย ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของรัฐในทุกภาคส่วน” ดร. ลวัน ไว หนึ่งในผู้จัดทำวิจัยกล่าว

รายงานสัมภาษณ์ผู้โยกย้ายถิ่นชาวเมียนมา 209 คน (สัมภาษณ์เชิงลึก 111 คน และแบบกลุ่มเฉพาะ 98 คน) ประกอบด้วยผู้คนในหลากหลายภูมิหลัง อาทิ นักเรียน นักศึกษา แรงงาน ทั้งมีและไม่มีเอกสาร นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว และอื่น ๆ มากกว่าครึ่งมีอายุระหว่าง 18-35 ปี และทำการสำรวจใน 14 อำเภอ 11 จังหวัด

ผู้ตอบแบบสอบถามชี้ว่า เหตุผลทางการเมืองเป็นเหตุผลหลัก โดยการบังคับเกณฑ์ทหารเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนย้ายถิ่นฐาน จึงมีกลุ่มประชากรอายุ 18-35 ปีมากที่ย้ายออกมา และเมื่อย้อนไปดูสัดส่วนอายุก่อนการรัฐประหาร จะพบว่า คนช่วงอายุยังน้อยกลุ่มนี้มีสัดส่วนราว 53.3% ในผู้โยกย้ายถิ่นฐานในไทย แต่หลังรัฐประหาร กลับเพิ่มมากขึ้นเป็น 62.5%

ผลการสำรวจ

มุมมองต่อการเลือกตั้งปี 2563 และรัฐบาลพลเรือนชุดก่อน

ผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามบางส่วนเคยมีส่วนร่วมในการลงคะแนนเลือกตั้งเมียนมาปี 2563 และอีกหลายคนร่วมกิจกรรมการให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้ง การเฝ้าสังเกตการณ์การเลือกตั้ง และการเป็นอาสาสมัครในความพยายามสังเกตการณ์การเลือกตั้ง 

พวกเขาชี้ว่า การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นการเลือกตั้งที่ยุติธรรมและเสรี ซึ่งสะท้อนเจตจำนงของประชาชนอย่างแท้จริง ดังเห็นได้จากระดับการมีส่วนร่วมของสาธารณชนที่สูง ดร.ลวันกล่าวถึงความกระตือรือร้นของชาวเมียนมาระหว่างการเลือกตั้งปี 2563

“คุณอาจเห็นหน้ากากได้เพราะเป็นยุคโควิด พวกเขาจึงต้องสวมหน้ากาก แต่พวกเขาพร้อมที่จะลงคะแนนแม้ในช่วงกลางของภัยพิบัติ” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว

นอกจากนี้ พวกเขาสะท้อนว่า ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลพลเรือนชุดก่อน พวกเขามีโครงสร้างพื้นฐาน อย่างการคมนาคมที่ดีกว่า มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่า โอกาสถูกจ้างงานมากกว่า เดินทางได้อย่างปลอดภัยกว่า มีเสถียรภาพในการแสดงออกและความปลอดภัยมากกว่า และการรัฐประหารคือ จุดจบของสิ่งเหล่านี้


มุมมองต่อการเลือกตั้งปี 2568 และความกังวลที่ตามมา

แน่นอนว่าชาวเมียนมาอยากให้เกิดการเลือกตั้งขึ้นตามระบอบประชาธิปไตย แต่พวกเขาไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งปี 2568 ที่สภาทหารวางแผนไว้ จะเสรีหรือยุติธรรม รวมถึงไม่คิดว่าผลการเลือกตั้งจะช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศได้ เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกว่า 98% ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่คิดว่าจะเข้าร่วม

อาจเพราะด้วยความตั้งใจว่าจะไม่เข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ แต่ผู้ตอบแบบสอบถามมีเพียงบางส่วน ส่วนน้อยเท่านั้นที่ติดตามและทราบรายละเอียดการเลือกตั้ง ส่วนใหญ่มาจากพื้นหลังภาคประชาสังคมและภาคสื่อ และไม่ได้ติดตามเพื่อร่วมลงคะแนน แต่เพราะความเคลือบแคลงสงสัย

แม้ 98% ของผู้ตอบแบบสอบถามจะกล่าวว่า ไม่ประสงค์จะเข้าร่วมการเลือกตั้ง แต่ยังมีอีก 2% ที่กล่าวว่าจะเข้าร่วม สาเหตุเพราะอยากได้สันติภาพ อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเสรีและยุติธรรม ทั้งยังไม่เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนและวิกฤตในเมียนมาได้

ผู้ตอบแบบสอบถามชายวัยทำงาน ผู้ย้ายถิ่นฐานจากเมืองงะปูตอ เขตอิรวดี ปัจจุบันอาศัยอยู่ในแม่สอดกล่าวถึงความเชื่อมันต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดว่า

“การเลือกตั้งดำเนินการโดยรัฐบาลที่ล้มเหลวในการปกป้องประชาชนของตน ละเมิดสิทธิมนุษยชนของพวกเขา และข่มเหงพวกเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งผ่านการทิ้งระเบิดรายวัน การโจมตี การจับกุมโดยพลการด้วยเจตนาที่จะสังหาร และการประหารชีวิตนอกกระบวนการยุติธรรม การเลือกตั้งนี้ไม่สามารถถูกพิจารณาว่าเป็นการปกป้องหรือรับผิดชอบต่อประชาชนได้เลยไม่ว่าในแง่ใดก็ตาม”

อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่กังวลผลการคว่ำบาตรเลือกตั้งว่าอาจนำไปสู่ “การลงโทษทางอ้อม” ข้อแรกพวกเขาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากเรื่องสถานะการพำนักและเอกสารของตนมากขึ้นไปอีก อาจส่งผลให้การพำนักอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทยหมดอายุลง ทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นคนไม่มีเอกสาร หรืออาจส่งผลต่อ"ใบรับรองการระบุตัวตน (Certificate of Identity - CI)" ร่วมกันระหว่างไทย-เมียนมา 

หลายคนกำลังยื่นขอเอกสารใหม่ หรือต่ออายุเอกสาร พวกเขากังวลว่า ข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาอาจถูกเข้าถึงและนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อสนับสนุนหรือสร้างความชอบธรรมให้กับผลการเลือกตั้งปี 2568 

อีกความกังวลที่สำคัญคือ ความกลัวว่า สมาชิกในครอบครัวที่ยังคงอยู่ในเมียนมาอาจถูกขู่เข็ญหรือข่มขู่ หากพวกเขาไม่เลือกตั้ง หลายคนแทบไม่มีหวังจะได้กลับบ้านอีกต่อไป แม้ว่าอยากกลับก็ตามที โดยแรงงานโรงงานในระยองวัยหนุ่มคนหนึ่งสะท้อนเรื่องนี้

“การใช้ชีวิตในต่างแดนก็เหนื่อยนะ พวกเราต้องการกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลับไปเจอครอบครัวอย่างปลอดภัยและสัน ผมเลยอยากขออย่างจริงใจให้สถานการณ์นี้หยุดลง และพวกเราหวังว่ารัฐบาลพลเรือนจะเกิดขึ้นผ่านการเลือกตั้งที่เหมาะสม และชอบด้วยกฎหมายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เขากล่าว

แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาบางคนที่เดินทางมาถึงประเทศไทยก่อนการรัฐประหารปี 2564 ได้ระบุว่า ภายหลังการเลือกตั้งปี 2563 พวกเขามีความปรารถนาและวางแผนที่จะกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม การยึดอำนาจทางทหารในปี 2564 ได้ทำลายความหวังในการกลับบ้านเหล่านั้นจนหมดสิ้น

ตัวแทนแท้จริงที่ประชาชนเลือกคือใคร

ระหว่างปี 2558-2563 คือช่วงปีที่ชาวเมียนมาผู้ตอบแบบสอบถามชี้ว่า พวกเขาได้สัมผัสกับประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม และทำให้พวกเขาเชื่อว่า การนำโดยประชาธิปไตยสามารถนำมาซึ่งธรรมาภิบาลพลเรือน ระบบที่แข็งแกร่ง และบริการสาธารณะที่ดีขึ้นได้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ๋ไม่ได้มองว่ารัฐบาลทหารเมียนมาคือกลุ่มที่จะทำให้ความเจริญในอดีตนั้นกลับมา 

“ในแง่ของความมั่นใจ ประมาณ 92 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุในทันทีว่ารัฐบาลทหารไม่ได้เป็นตัวแทนพวกเขา” รายงานระบุ

คำตอบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านการรัฐประหารและยืนยันสิทธิของพรรค NLD พวกเขาได้คะแนนความนิยมจากผู้ตอบแบบสอบถามไป 26% เนื่องจากได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชนมาก 

“นี่คือกลุ่มที่เกิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านองค์กรที่กดขี่ประชาชน ก่อเหตุฆ่าและการกดขี่ทุกวัน NUG เกิดขึ้นเพื่อตอบโต้สิ่งนั้น ดังนั้นผมจึงถือว่า NUG เป็นองค์กรตัวแทนของผมสำหรับการปฏิวัติ” ชาวเมียนมาคนหนึ่ง ผู้อาศัยในกรุงเทพกล่าว

อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงสะท้อนให้ NUG ต้องจัดการและพัฒนา เช่นการมีส่วนร่วมจากชาติพันธ์ุที่ครอบคลุม และอยากเห็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ และมีความสามารถมากกว่าผู้นำคนปัจจุบัน

คำตอบอันดับ 2 ที่ได้รับคะแนนไป 25% คือไม่มีองค์กรใดที่เป็นตัวแทนของสาธารณชนได้ ข้อนี้สะท้อนการขาดความเชื่อมั่นในในตัวผู้นำและองค์กรที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งยังมองว่า NUG ไม่ได้ช่วยขจัดความยากจน หากจะสนับสนุน NUG อยู่บ้าง กลุ่มนี้มองว่า ต้องมีองค์กรหรือความร่วมมือใหม่เกิดขึ้น

“ตอนแรกพวกเราก็สนับสนุน NUG ให้จัดตั้งผู้นำร่วมนะ แต่ NUG ก็คอยแต่ทำสิ่งต่าง ๆ ไม่สำเร็จสักที NUCC ก็ไม่สำเร็จอีกเหมือนกัน พวกเขารวมกระทรวงที่ไม่จำเป็นเข้าด้วยกัน ใช้อำนาจในทางที่ผิด ทำผิดพลาดอีก และเมื่อพวกเขาหลบหนีและไปถึงเขตปลอดภัยได้แล้ว พวกเขาก็เลิกล้มความพยายามในส่วนที่เหลือ ทางทหาร พวกเขายังไม่ได้จัดตั้งนโยบายพันธมิตรอย่างเหมาะสม ไม่มีอะไรโดดเด่นเกิดขึ้น” เจ้าหน้าที่ชายขององค์กรภาคประชาสังคมที่ย้ายจากตะนาวศรีมายังระนองกล่าว และเสริมว่า เมื่อพูดถึง NUG คนมักมองเป็นตัวบุคคลมากกว่า

คำตอบที่ได้รับคะแนน 12% คือ ตัวแทนและองค์กรปฏิวัติชาติพันธุ์ (EROs) คนที่ตอบข้อนี้มองว่า EROs สามารถให้การสนับสนุน การคุ้มครอง และความมั่นคงแก่ประชาชน ตลอดจนจัดตั้งระบบบริหารจัดการที่สามารถให้บริการสาธารณะ เช่น การศึกษาและสุขภาพ ตามความต้องการของภูมิภาคของตน  และสามารถเป็นตัวแทนทุกกลุ่มชาติพันธุ์และทุกภูมิภาคได้

อย่างไรก็ตาม พวกเขาคิดว่า EROs ยังไม่ได้มีอำนาจเท่ารัฐบาลสหพันธรัฐหรือรัฐบาลแห่งชาติ และต้องการให้ EROs เข้าร่วมและร่วมมือในการจัดตั้งรัฐบาลสหพันธรัฐหรือรัฐบาลแห่งชาติ

ตัวแทนที่ประชาชนต้องการเห็นลำดับต่อไปคือ นางออง ซาน ซูจี (9%), คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพ (CRPH) (4%), และ กองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF)  (4%)


ชาวเมียนมามองว่าบางชาติสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมาเพื่อประโยชน์ตน 

รายงานฉบับดังกล่าวยังมีการสำรวจความคิดเห็นของผู้โยกย้ายถิ่นฐานชาวเมียนมาในประเทศไทยเกี่ยวกับการตอบสนองของนานาชาติต่อสถานการณ์ในเมียนมา แบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้

ผู้ตอบแบบสอบถาม 68% มองว่า อำนาจใหญ่อย่างจีนและรัสเซีย รวมถึงรัฐเพื่อนบ้านบางประเทศ กำลังสนับสนุนรัฐบาลทหารเป็นหลักเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของตนเอง และกำลังให้การรับรองต่อการเลือกตั้งที่หลอกลวง

อีก 35% มองว่า ประเทศเพื่อนบ้านกำลังละเลยประชาชนชาวเมียนมา โดยให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเอง ไม่ได้เป็นเพื่อนบ้านที่จริงใจ

33% มองว่าองค์กรอย่างสหประชาชาติ อาเซียน และประชาคมระหว่างประเทศ มีเพียงแค่ถ้อยแถลงเท่านั้น และไม่ได้ใช้แรงกดดันที่มีประสิทธิภาพหรือดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ไม่ได้เข้าใจหรือตระหนักถึงรากเหง้าของความขัดแย้งในเมียนมาอย่างถ่องแท้ แต่กลับให้ความสำคัญกับเสถียรภาพผิวเผิน

สรุปได้ว่า พวกเขามีความคาดหวังที่ต่ำต่อประชาคมระหว่างประเทศ และแสดงมุมมองว่าพวกเขาต้อง พึ่งพาตนเองมากกว่าที่จะรอคอยการสนับสนุนจากภายนอก ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าจุดยืนประเทศเพื่อนบ้านมีผบต่อสถานการณ์ภายใน

ข้อเสนอแนะต่อประชาคมระหว่างประเทศ

  1. เรียกร้องให้ตัวแสดงระหว่างประเทศ ปฏิเสธ ขัดขวาง และป้องกันการเลือกตั้งนี้โดยสิ้นเชิง เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งที่ประชาชนชาวเมียนมายอมรับ การปล่อยให้ดำเนินการต่อไปจะเป็นการให้ความชอบธรรมโดยปริยายแก่รัฐบาลทหาร 
  2. เน้นย้ำว่าการเลือกตั้งสามารถดำเนินการได้ภายใต้สถานการณ์ปกติเท่านั้น ต้องมีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองและผู้นำที่ถูกควบคุมตัว และยุติความรุนแรงรายวัน รวมถึงการทิ้งระเบิดและการโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่พลเรือน ต้องเป็นไปตามนี้ การเลือกตั้งแท้จริงจึงเกิดได้
  3. เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศรับฟังเสียงของประชาชนชาวเมียนมาอย่างตั้งใจ และให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนที่พวกเขาต้องการอย่างเร่งด่วน
  4. พวกเขาเรียกร้องให้ตัวแสดงระหว่างประเทศดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อปิดกั้นรัฐบาลทหาร ซึ่งยังคงก่ออาชญากรรมสงคราม
  5.  เรียกร้องให้ตัวแสดงระหว่างประเทศให้ความร่วมมือกับประชาชนในการ สร้างระบบประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ ที่สามารถแก้ไขความยากลำบากทางเศรษฐกิจและสังคมที่ประชากรเผชิญอยู่ได้จริงในแต่ละวัน 

“จะเป็นการดีที่สุดหากประชาคมระหว่างประเทศปฏิเสธที่จะรับรองการเลือกตั้งที่หลอกลวงครั้งนี้ หากพวกเขาไม่ยอมรับมัน ไม่ว่าทหารจะทำอะไรหลังจากนั้นก็ไม่สำคัญ หากนานาชาติไม่เข้าแทรกแซง เราก็ไม่มีทางจะสำเร็จ” ผู้พลัดถิ่นชาวลีซูจากมัณฑะเลย์กล่าว

นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามหลายคนยังมีข้อความส่งถึงรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยด้วย พวกเขารู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งที่ไทยยอมรับให้พวกเขาได้เข้ามาอาศัย และทำงานในประเทศไทยเมื่อหนีความขัดแย้งจากบ้านเกิดมา 

“พวกเรารู้สึกขอบคุณที่พวกเขา [คนไทย] ต้อนรับพวกเราชาวเมียนมาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมเชื่อว่าพวกเขาจะยังคงให้การสนับสนุนเพื่อนร่วมชาติชาวเมียนมาต่อไป” แรงงานชาวเมียนมาคนหนึ่งกล่าว

“พวกเขาให้ที่พักพิงแก่ชาวเมียนมา และฉันยังได้ยินมาว่ามีแผนที่จะออกเอกสารที่จำเป็นให้ผู้ลี้ภัยทำงานด้วย นั่นคือเหตุผลที่พวกเราซาบซึ้งต่อประเทศไทยมาก” ผู้ลี้ภัยสงครามคนหนึ่งกล่าว

แชร์
คนเมียนมาในไทย 98%  ขอไม่ลงคะแนนเลือกตั้ง เพราะไม่เสรี ไม่ยุติธรรม