Logo site Amarintv 34HD
Logo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
โลกก้าวหน้าหรือย่ำอยู่กับที่? ต่อการคุมไม่ให้อุณหภูมิสูงเกิน 1.5 องศา
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

โลกก้าวหน้าหรือย่ำอยู่กับที่? ต่อการคุมไม่ให้อุณหภูมิสูงเกิน 1.5 องศา

26 พ.ย. 68
14:13 น.
แชร์

ประเทศไทยเราและอีกหลายชาติในอาเซียน อย่างมาเลเซียและเวียดนาม กำลังเผชิญกับภาวะฝนตกหนักจนน้ำท่วม สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง นั่นเป็นผลพวงมาจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

เรามีความพยายามระดับโลกที่จะแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยเฉพาะในเวทีสำคัญอย่างการประชุมรัฐภาคีของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP ที่จัดมาแล้วถึง 30 ครั้ง

แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูนับตั้งแต่ COP21 ซึ่งจัดขึ้นที่ฝรั่งเศส เมื่อปี 2558 ซึ่งเกิดข้อตกลงปารีสขึ้น เป้าหมายคือการควบคุมไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจำกัดให้อยู่ในระดับไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม มาจนถึงการประชุม COP30 ที่เกิดขึ้นในปีนี้ โลกของเราก้าวหน้าไปแค่ไหนแล้วในการแก้ปัญหาโลกร้อน

เพราะมีรายงานหลายฉบับที่ได้รับการเผยแพร่ออกมาในปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่า โลกของเราอาจจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่จะควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้จริง

ข้อตกลงปารีสไปถึงไหนแล้ว?

ข้อตกลงปารีสเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป้าหมายสำคัญคือการควบคุมไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจำกัดให้อยู่ในระดับไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ข้อตกลงนี้ได้รับการรับรองที่กรุงปารีสในปี 2558 และเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2559

ในกรอบของข้อตกลง ประเทศคู่ภาคีทุกประเทศจำเป็นต้องจัดทำ “การมีส่วนร่วมที่กำหนดในระดับประเทศ” (NDC) ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ โดยต้องมีการประเมินและปรับปรุงแผนทุก ๆ 5 ปี นอกจากนี้ ประเทศพัฒนาแล้วยังต้องให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อเสริมศักยภาพด้านการรับมือและบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนด้วย

อย่างไรก็ตาม ในการส่งแผนรอบล่าสุดประจำปี 2568 ซึ่งมีเส้นตายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ จากข้อมูลล่าสุดของสถาบันนานาชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (International Institute for Sustainable Development: IISD) ระบุว่า มีเพียง 15 ประเทศ จาก 195 ประเทศที่ร่วมลงนามในข้อตกลงปารีส ที่สามารถส่งแผนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ หรือ “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” (Nationally Determined Contributions: NDCs) สำหรับปี 2578 ได้ทันเวลาภายในกำหนดเส้นตายของสหประชาชาติ และจนถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ มีเพียง 17 ประเทศที่ส่งรายงาน NDC ฉบับใหม่

โดยประเทศที่เผยแพร่แผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ทันเวลา ได้แก่ อันดอร์รา บอตสวานา บราซิล เอกวาดอร์ เลโซโท สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ นิวซีแลนด์ เซนต์ลูเซีย สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อุรุกวัย สหรัฐอเมริกา และซิมบับเว ขณะที่แคนาดาและญี่ปุ่น ส่งแผนหลังครบกำหนดเพียงไม่กี่วัน

IEA คาด โลกไม่น่าบรรลุเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิ

รายงานของสำนักงานพลังงานสากล หรือ IEA เปิดเผยเมื่อวันพุธที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ระบุว่า ความต้องการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของโลกอาจจะเพิ่มขึ้นไปจนถึงปี 2050 ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายที่โลกต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด และลดการใช้พลังงานฟอสซิล

IEA ชี้ว่า โลกอาจไม่สามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้อยู่ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสได้จริง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ IEA ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลความมั่นคงด้านพลังงานโลก ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางนโยบายจากสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ก่อนหน้าในสมัยรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน IEA เคยคาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันโลกน่าจะถึงจุดสูงสุดในทศวรรษนี้ และหากต้องการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ประเทศต่าง ๆ ควรยุติการลงทุนในโครงการน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินแห่งใหม่แล้ว

ไทยล่าช้าเรื่องเป้าหมาย NET ZERO

ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า แม้ประเทศไทยจะตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (NET ZERO) ในปี 2608 แต่ถือว่าล่าช้ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และลาว ซึ่งตั้งเป้าไว้เร็วกว่าไทยราว 15 ปี แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดของไทยที่ยังไม่ทันต่อการแข่งขัน

ดร.อารีพรยังชี้ว่า แม้รัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะทบทวนเป้าหมาย NET ZERO ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2593 แต่ไทยยังเผชิญข้อจำกัดด้านนโยบายและดัชนีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยเฉพาะการไม่มีแผนพัฒนาพลังงานสะอาดรองรับปี 2573 ซึ่งเป็นช่วงที่ภาคธุรกิจระดับโลกต้องการใช้พลังงานหมุนเวียน 100%

ความล่าช้าในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดยังส่งผลต่อความสามารถในการบรรลุเป้าหมาย NDC และ NET ZERO และอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน การลงทุน และบทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลก


แชร์
โลกก้าวหน้าหรือย่ำอยู่กับที่? ต่อการคุมไม่ให้อุณหภูมิสูงเกิน 1.5 องศา