
อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมขังนานกว่า 4 วัน และในอีกหลายพื้นที่ อาจเกิดน้ำท่วมมานานกว่านั้น นับเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมาก แต่ทำไมหาดใหญ่จึงน้ำท่วมหนัก? จนระดับน้ำท่วมขังสูงกว่าระดับน้ำสูงสุดจากเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2553 ถึง 87 เซนติเมตร
Spotlight ได้พูดคุยกับ ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน ถึงสาเหตุน้ำท่วมหนัก และแนวทางระบายน้ำที่ใช้ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ รวมถึงแนวโน้มสถานการณ์นับตั้งแต่นี้
อาจารย์ธเนศร์ อธิบายว่า สาเหตุที่ปริมาณน้ำท่วมขังในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่นั้น เพราะเกิดน้ำท่วมซ้ำ 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน ครั้งแรกคือระหว่างวันที่ 19-22 พฤศจิกายน 2568 มีฝนตกบริเวณคลองวาด, คลองต่ำ, คลองหวะ, และคลองหงส์ และอีกครั้งวันที่ 22-23 พฤศจิกายนที่อำเภอสะเดา มวลน้ำฝนจากสองทาง สองระลอก มารวมกันที่พื้นที่เมืองหาดใหญ่
“ทั้ง 4 สายพาน้ำไหลมาลงพื้นที่เทศบาลเมืองหาดใหญ่พร้อมกัน ทำให้เทศบาลเมืองหาดใหญ่เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนมีน้ำท่วม แต่ท่วมราว 50 เซนติเมตรและสามารถลดลงได้ภายใน 1 วัน เนื่องจากเรามีคลองระบายน้ำ คลอง ร.1 ช่วยอยู่ แต่สาเหตุที่น้ำเพิ่มขึ้นมาอีกเพราะปริมาณน้ำจากคลองอู่ตะเภาจากอำเภอสะเดามาเสริม”
อาจารย์ธเนศร์ กล่าวว่า ปริมาณน้ำระลอก 2 ที่มาจากอำเภอสะเดา ผ่านอำเภอคลองหอยโข่ง และถึงหาดใหญ่ ผ่านคลองอู่ตะเภานั้น มีปริมาณมากถึง 2,654 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
แต่เมื่อเรามองระบบระบายน้ำในพื้นที่หาดใหญ่ หรือ “พื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา” จะพบว่า มีคลองที่ใช้ระบายน้ำหลักสู่ทะเลสาบสงขลาคือ 1. คลอง ร.1 ที่สามารถระบายน้ำได้ 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และ 2. คลองเตยและคลองอู่ตะเภารวม 465 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที รวมแล้วราว 1,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
“เอาตัวเลขมาลบกัน มีน้ำค้างที่ยังระบายไม่ได้ร่วม 900-1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งตรงนี้ทำให้น้ำบ่าท่วม” อาจารย์กล่าว ชี้ว่าประตูน้ำบริเวณหน้าทางระบายน้ำได้ถูกท่วมจมหายไปแล้ว “ตรงนี้ยังบริหารไม่ได้ เนื่องจากยังต้องรอให้น้ำระบายออกลงสู่ทะเล” อาจารย์สรุป
สำหรับข้อมูลเรื่องฝนตกหนักที่สุด “ในรอบ 300 ปี” ซึ่งส่วนนี้อาจารย์ชี้ว่า มาจากการเก็บข้อมูลจากสถานีวัดน้ำ กรมชลประทาน ที่วัดได้ราว 330-350 มิลลิเมตรต่อวัน ที่เมื่อวิเคราะห์ตามสถิติ (น้อยกว่า 300 ปี) จึงเห็นความน่าจะเป็นว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ 300 ปีครั้ง
นอกจากนี้อีก ปัจจัยที่อาจารย์ธเนศร์ชี้ว่า อาจเป็นสาเหตุให้น้ำท่วมพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อนคือ “ผังเมืองที่เปลี่ยนไป” ซึ่งอาจพบได้ในพื้นที่อื่นของประเทศ และรอบนอกเมืองหาดใหญ่
“ที่พื้นที่รอบนอกหาดใหญ่ ผังเมืองที่เปลี่ยนไปอาจเปลี่ยนทิศทางน้ำได้บ้าง จะเห็นว่าบางพื้นที่ไม่เคยท่วมเลย แต่ปีนี้ท่วมก็ต้องดูว่าทางน้ำเปลี่ยนหรือเปล่า บางทีการสร้างถนนอาจทำให้ทางน้ำเปลี่ยนได้” อาจารย์อธิบาย
อาจารย์ธเนศร์ชี้ว่า สถานการณ์น้ำแตะจุดพีคเมื่อช่วง 11.00 น. ที่ผ่านมา คือเมื่อมวลน้ำจากอำเภอสะเดา ซึ่งเป็นสาเหตุน้ำท่วมครั้งนี้ ได้ไหลมาถึงอำเภอเมืองหาดใหญ่แล้ว เมื่อรวมกับการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาที่ชี้ว่า ปริมาณน้ำจะไม่มากนัก จึงคาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นตามลำดับ
“ตอนนี้สถานการณ์น้ำที่หาดใหญ่มีแนวโน้มคงตัวแล้ว ถ้าฝนไม่ตกเพิ่มมารุนแรงมากกว่านี้ และลดลงต่อไป ซึ่งคงใช้เวลาราว 2-3 วันกว่าระดับน้ำจะต่ำกว่าตลิ่ง คือวันที่ 27 พฤศจิกายน” อาจารย์บอก
บนเว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา ข้อมูลวันนี้ (25 พฤศจิกายน 2568) พยากรณ์อากาศ 7 วันล่วงหน้า (26 พ ฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2568) ว่า ตอนล่างของภาคจะมีมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 – 30 ของพื้นที่ ซึ่งน้อยกว่าระหว่างวันที่ 19-24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์น่าจะดีขึ้นตามลำดับ
“และเมื่อประกอบกับน้ำทะเลในทะเลสาบสงขลา ที่มีน้ำทะเลหนุนสูงวันที่ 20-22 ซึ่งลดลงแล้ว ทำให้จะระบายน้ำได้ดีขึ้น”
อาจารย์เน้นย้ำว่า ส่วนที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ
“ผมคาดว่าช่วงวันที่ 26-27 เป็นช่วงที่น้ำจะระบายลงสู่ทะเล และเมื่อน้ำต่ำกว่าตลิ่งแล้ว ก็จะเข้ากระบวนการฟื้นฟู ซึ่งเราต้องเอาเครื่องสูบน้ำไปสูบน้ำที่ยังค้างในคลอง และระบายออกทะเล และฟื้นฟูระดับพื้นที่” อาจารย์ชี้
อาจารย์ธเนศร์ ชี้ว่า ภูมิศาสตร์ของภาคใต้ที่มีลักษณะเป็นด้ามขวาน ด้านซ้ายเป็นเทือกเขา และอ่าวไทยอยู่ทางขวา มีลำน้ำสั้น เมื่อฝนตกบริเวณเทือกเขา มวลน้ำจึงใช้เวลาเดินทางจากตะวันตกไปตะวันออก จากเทือกเขาไปอ่าวไทยได้รวดเร็ว ผลคือ “น้ำท่วมฉับพลัน ท่วมไว แต่ลดเร็ว”
“ปกติน้ำท่วมภาคใต้ ในเวลาไม่ถึงวันระดับน้ำอาจเปลี่ยนถึง 1-2 เมตร บางทีใช้เวลา น้ำหลาก เพียงวันเดียว หรือครึ่งวันเท่านั้น [...] น้ำท่วมหาดใหญ่ปกติก็ท่วมวันเดียวเท่านั้น” อาจารย์กล่าว
แต่ครั้งนี้อาจารย์กล่าวว่าเป็นเหตุการณ์ “สุดขั้ว” เพราะมีน้ำขังเกิน 1 วัน มีสาเหตุมาจากฝนที่ตกหนักมากในลักษณะ “ฝนแช่” หรือ stationary heavy rainfall คือฝนตกหนักมาก ณ พื้นที่หนึ่ง แช่นานเป็นเวลาหลายวัน และมีถึง 2 ระลอก
“ปกติน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากในตัวเมืองภาคใต้ เกิด 1 วันก็จบแล้ว การบริหารจัดการน้ำ 1 วัน กับ 3 วัน หรือ 7 วันก็ต่างกัน ผมคิดว่าการเตรียมความพร้อมในระยะสั้น หน่วยงานราชการเตรียมไว้ดีพอสมควร แต่พอเป็น 3-4 วันขึ้นไป จะมีปัจจัยอื่นตามมา” อาจารย์จากกรมชลประทานกล่าว และชี้ว่า ปกติน้ำท่วมภาคใต้ลดไวจึงไม่ต้องใช้เรือ ทำให้เกิดข่าวการขาดแคลนเรือดังที่ปรากฏ
“น้ำท่วมนั้นเกิดบ่อย แต่เกิดขึ้นสุดขั้วแบบนี้ไม่บ่อย ดังนั้นการเตรียมการที่มีอยู่จึงไม่เพียงพอ” อาจารย์ เน้นย้ำ
เพราะสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น รุนแรงขึ้น และคาดการณ์ได้ยากขึ้นไม่ว่าในพื้นที่ใด ดังนั้นการเตรียมการรับมือสถานการณ์ไม่คาดคิดจึงอาจเป็นเรื่องที่หน่วยงานต่าง ๆ ต้องพิจารณา
อาจารย์ธเนศร์พาย้อนมองการปรับตัวของกรมชลประทาน เรื่องการระบายน้ำพื้นที่หาดใหญ่ ชี้ว่า คลอง ร.1 ซึ่งเป็นคลองที่สร้างขึ้นตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 แต่เดิมมีศักยภาพในการระบายน้ำที่ 465 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ต่อมาหลังเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2543 ซึ่งทำให้ตระหนักว่า 465 ลูกบาศก์เมตรนั้นไม่เพียงพอ จึงมีการขยายคลองให้ระบายน้ำได้ 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
“การขยายครั้งนั้นทำให้น้ำปี 2553 ลดลงได้ไว และหลังจากปี 2553 เป็นเวลากว่า 15 ปี หาดใหญ่น้ำไม่ท่วมเลย”
อย่างไรก็ตาม เพราะสถานการณ์สุดขั้วในปีนี้ อาจารย์จึงชี้ว่าอาจต้องพิจารณาคลองระบายน้ำอื่น ๆ คือ คลอง ร.3, ร.4, และ ร.5 สามารถขยายเพื่อระบายน้ำเพิ่มได้ไหม