
บรรยากาศการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนปีนี้ หรือ ASEAN Summit 2025 ดำเนินไปอย่างครึกครื้น ผู้นำจากชาติมหาอำนาจและองค์กรระหว่างประเทศมาร่วมกันเจรจา ลงนามสนธิสัญญา แสดงความเห็นในประเด็นการเมือง หรือแม้แต่เต้นคลอไปกับดนตรีพื้นบ้านของมาเลเซีย
นี่แสดงถึง “พลังของอาเซียน” ที่สามารถดึงดูดบุคคลสำคัญในเวทีการเมืองและการค้าโลกมารวมตัวกัน ทั้งยังเป็นพื้นที่พูดคุยเรื่องความขัดแย้งของชาติภาคีสมาชิก อย่างความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา และพูดคุยถึงปัญหาความรุนแรงภายในเมียนมา
วันนี้ Spotlight อยากชวนมองอาเซียนให้รอบด้าน มองอาเซียนในฐานะ “ผู้เล่น” สำคัญในเวทีการเมืองและการค้าระหว่างประเทศ ว่าทำไมการรวมกลุ่มของประเทศ 10 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงมีพลังกว่าที่หลายคนคาด
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อาเซียนตั้งเป้าหมายจะเป็น “ตลาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก” และวางเป้าหมายนี้ไว้ในแผนเศรษฐกิจ ASEAN Economic Community (AEC) Strategic Plan 2026–2030 ซึ่งเป็นอีกเป้าหมายที่กระตือรือร้นของกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจรวมกันเป็นอันดับที่ 5 ของโลกในปัจจุบัน
มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของอาเซียนในปี 2023 มากกว่า 3,600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2000 ที่ 1,542 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กว่า 2 เท่า เป็นหลักฐานการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างกัน
ประเทศสมาชิกอาเซียนมีความร่วมมือด้านการค้าหลายด้าน อาทิ:
นอกจากนี้ การรวมกลุ่มกันยังช่วยเพิ่มอำนาจทางเศรษฐกิจและอำนาจการต่อรองกับประเทศขนาดใหญ่ อาเซียนจึงมีความตกลงระหว่างอาเซียนและประเทศภายนอก อาทิ:
นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงการค้าระหว่างอาเซียนกับประเทศและเขตเศรษฐกิจอื่น ๆ อีก อาทิ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ดังนั้นเมื่ออาเซียนรวมกลุ่มเข้าด้วยกัน จึงสร้างพลังในการต่อรองและดึงดูดมากขึ้น เป็นพื้นที่ให้ประเทศสมาชิกได้ต่อรองการค้ากับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เช่น ผลข้อตกลงการค้าที่สหรัฐฯ ทำกับหลายประเทศ หรือการประชุมสุดยอดอาเซียน–สหรัฐฯ ครั้งที่ 13 ที่จัดขึ้นในห้วงการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ 47 นี้ด้วย
ทั้งหมดเหล่านี้เป็นตัวอย่างของความร่วมมือข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก
ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนคือ ประชากรที่ยังคงเติบโต แม้ว่าหลายประเทศในภูมิภาคอย่างสิงคโปร์และไทยจะเผชิญปัญหาสังคมสูงวัยและอัตราการเกิดลดลง แต่โดยภาพรวมภูมิภาคอาเซียนยังคงทำได้ดี
ในปี 2023 ประชากรอาเซียนเติบโต 1.0% ซึ่งมากกว่าปี 2022 ที่ 0.9% และปี 2021 ที่ 0.8% ทำให้อาเซียนมีประชากรรวมกันมากกว่า 670 ล้านคน หรือราว 8% ของประชากรโลก ธนาคารโลกประเมินว่า ในจำนวนนั้นมีการจ้างงานทั้งในและนอกระบบราว 350 ล้านคน และกว่า 60% มีอายุต่ำกว่า 30 ปี เมื่อเป็นภูมิภาคที่มีทรัพยากรแรงงานจำนวนมาก จึงเป็นฐานการผลิตที่เข้มแข็ง ทั้งยังมีผู้บริโภควัยเยาว์อีกจำนวนมาก
อาเซียนกลายเป็นฐานการผลิตทางเลือกอันดับต้นสำหรับบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ทำให้ในปี 2023 การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 236,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 24%
อีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอาเซียนคือ เศรษฐกิจดิจิทัล ตามข้อมูลของ World Economic Forum อาเซียนเป็นภูมิภาคที่ตลาดอินเทอร์เน็ตเติบโตสูงที่สุด มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นกว่า 125,000 คนต่อวัน ทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตตาม และคาดการณ์ว่า จะสร้างเม็ดเงินให้ GDP รวมของภูมิภาคกว่า 1,000,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในทศวรรษหน้า
เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลที่มั่นคง อาเซียนจำเป็นต้องวางนโยบายและกรอบการทำงานที่สนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลให้มีเอกภาพ สร้างแรงงานที่มีทักษะดิจิทัล พัฒนาระบบการชำระเงิน e-Payments ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เข้มแข็งมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม อาเซียนยังคงมีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งส่งผลต่อประเทศที่พึ่งพาการค้ากับประเทศนอกภูมิภาคมาก เช่น กัมพูชาและเวียดนาม รวมถึงความขัดแย้งภายในภูมิภาคอย่างเช่น ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา ที่ยังเป็นอุปสรรคทางเศรษฐกิจของสองประเทศ
อาเซียนประกอบด้วยประเทศที่มีระบบการเมืองหลากหลาย ทั้งระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง (อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย) ระบอบกษัตริย์ (บรูไน, ไทย) และรัฐบาลที่มีลักษณะอำนาจนิยม (ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) แต่ระบบการปกครองที่แตกต่างกัน ไม่ใช่สาเหตุของความขัดแย้งในภูมิภาค และมักใช้การตัดสินใจร่วมกันแบบฉันทามติ
เพื่อสร้างสังคมที่มีความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงระหว่างกัน ผู้นำอาเซียนจึงได้ตกลงจัดตั้ง ASEAN Political–Security Community (APSC) เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ชาติสมาชิกจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ในบรรยากาศที่มีความยุติธรรมและเป็นประชาธิปไตย
อาเซียนเป็นเป้าหมายที่น่าดึงดูดของประเทศ Middle Power อย่างออสเตรเลียและเยอรมนี ที่พยายามลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจกับจีน กล่าวคือ มองหาตลาดและคู่ค้าใหม่ ๆ
ประเทศ Middle Power อย่างออสเตรเลียและเยอรมนีต่างก็มีโครงการสนับสนุนด้านงบประมาณให้กับประเทศอาเซียน ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย สองชาตินี้ได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหลายโครงการ ขณะเดียวกัน ประเทศอาเซียนหลายชาติเองก็ดูจะเปิดรับและสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับประเทศเหล่านี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคนี้ยังคงเป็น “เวทีชิงอำนาจ” ที่สำคัญระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่พยายามขยายอิทธิพลเหนือทะเลจีนใต้ มีข้อขัดแย้งสำคัญอาทิ การอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ในทะเลจีนใต้ของจีน ตามเส้นประ 9 เส้นบนแผนที่จีน
ที่ผ่านมาอาเซียนพยายามทำตนเป็นกลางและสร้างสมดุลอำนาจระหว่างสองชาติมหาอำนาจมาเสมอ พร้อม ๆ กับการต้องทำให้ตนเป็นกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญในสายตามหาอำนาจเหล่านี้ ทั้งในทางเศรษฐกิจ การทูต และการเมือง แต่หลายครั้งก็ยังถูกบังคับให้เลือกข้าง
การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในปีนี้ ถือเป็นการรุกล้ำเข้ามาในภูมิภาคและบีบให้หลายประเทศต้องเลือกข้าง หันเข้าขอเจรจากับสหรัฐฯ อย่างเสียไม่ได้ และในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เรายังพบเห็นประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เดินทางเยือนหลายประเทศในอาเซียน อย่างเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา พร้อมการลงนามใน MOUs หลายฉบับ ทั้งยังเตือนประเทศต่าง ๆ อย่าสมคบคิดกับสหรัฐฯ จำกัดการค้ากับจีน
พร้อมกันนั้น จีนใช้อาเซียนเป็นพื้นที่แวะพักและเปลี่ยนตราสินค้าส่งออกจากจีน ไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หลายชาติอาเซียนอย่างมาเลเซีย ออกมาต่อต้านการ “ย้อมแหล่งผลิต” ด้วยกลัวตกเป็นเป้าหมายต่อไปของสหรัฐฯ
การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เป็นพื้นที่ “ระดับสูงสุด” ที่ใช้กำหนดนโยบายของประชาคมอาเซียน แสดงจุดยืน-วิสัยทัศน์ในการดำเนินงาน รวมถึงการปรับความเข้าใจและแนวทางการอยู่ร่วมกันของประเทศสมาชิก อาทิ ลงนามข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา ที่มีผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซียเป็นพยาน หรือการพูดคุยหาทางออกให้ความขัดแย้งภายในประเทศเมียนมา
การประกาศจุดยืนการเป็นพันธมิตรและความร่วมมือ อาทิ การรับติมอร์-เลสเตเข้าเป็นประเทศสมาชิกลำดับที่ 11 (พิธีมอบภาคยานุวัติสารเข้าเป็นภาคีกฎบัตรอาเซียน และภาคยานุวัติสนธิสัญญากรุงเทพ (SEANWFZ) โดยติมอร์-เลสเต) หรือพิธีลงนามภาคยานุวัติสารเข้าเป็นอัครภาคีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ ที่เกิดขึ้นปีนี้
มีการพูดคุยทำความเข้าใจระหว่างประเทศสมาชิกทั้งระดับพหุภาคี และทวิภาคี อาทิ การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่เน้นย้ำว่า อาเซียนเป็นรากฐานสำคัญของนโยบายการต่างประเทศของไทยและความสำคัญของปฏิสัมพันธ์กับภาคีภายนอก, เน้นการใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง, และย้ำความยึดมั่นต่อแนวทางภูมิภาคนิยมและพหุภาคีนิยม
การประชุมพหุภาคีในหัวข้อเฉพาะ อาทิ การประชุมร่วมรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน, การประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียน ครั้งที่ 37, การประชุมคณะมนตรีประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ครั้งที่ 30 และการประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียน ครั้งที่ 37
การเจรจาระดับทวิภาคี อาทิ การหารือกันระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล กับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ที่ได้ผลออกมาว่า 2 ชาติเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อาทิ การลงทุน เศรษฐกิจดิจิทัล และการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังฟิลิปปินส์
หรือการพบปะระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีต่างประเทศ พบกับนายอันโตนิโอ กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ ย้ำการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของไทยในการสนับสนุนข้อริเริ่ม UN80 Initiative, การเร่งขับเคลื่อนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
การพูดคุยความร่วมมือกับประเทศภาคีพันธมิตร อาทิ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สหรัฐฯ ครั้งที่ 13, การประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ครั้งที่ 22, การประชุมสุดยอดอาเซียน - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 28
จากที่บรรยายมานี้ จะเห็นได้ว่า การรวมกลุ่มกันของประเทศทั้ง 10 (และจากนี้คือ 11) ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรียกว่า อาเซียน ผ่านความพยายามการสร้างเอกภาพ สันติภาพ และความเจริญก้าวหน้าทางการเมือง การทูต เศรษฐกิจ และด้านอื่น ๆ ช่วยเพิ่มพลังในการต่อรองให้กับประเทศสมาชิกในเวทีโลก เพิ่มความคล่องตัวในการจัดการปัญหาหรือความร่วมมือในภูมิภาค
และอย่างที่ประธานาธิบดีสิงคโปร์ ลอว์เรนซ์ หว่อง เคยกล่าวไว้เมื่อปีก่อนว่า ในขณะนี้ เมื่อโลกมีความผันผวนจากวิกฤตด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ การรวมตัวกันของอาเซียนจึงจำเป็นยิ่งกว่าที่เคย เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงของอาเซียนจะดังอย่างเป็นเอกภาพในเวทีโลก
“เมื่ออาเซียนได้รวมตัวกัน เราสามารถทำให้ประเทศต่าง ๆ ที่แม้จะมีความแตกต่าง ก็สามารถเริ่มคิดในฐานะกลุ่มเดียวกัน คิดถึงผลประโยชน์และการบูรณาการในระดับภูมิภาคได้ นั่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามเลย” ลอเรนซ์ หว่อง กล่าว