บริษัทล็อบบี้ยิสต์ของสหรัฐฯ ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี กับกระทรวงข่าวสารของเมียนมา เพื่อช่วยรัฐบาลเมียนมา ซึ่งปกครองด้วยรัฐบาลทหารมาอย่างยาวนาน ฟื้นฟูความสัมพันธ์ใหม่กับรัฐบาลสหรัฐฯ
จากเอกสารที่ได้รับการยื่น ภายใต้กฎหมายควบคุมหน่วยงานต่างชาติสหรัฐฯ หรือ FARA โดย DCI Group ซึ่งเป็นล็อบบี้ยิสต์ของสหรัฐฯ ได้ลงนามทำข้อตกลงกับกระทรวงดังกล่าวเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลทหารได้ส่งต่ออำนาจให้กับรัฐบาลชั่วคราวที่นำโดยพลเรือน ก่อนจะประกาศแผนการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้
สำหรับล็อบบี้ยิสต์ (Lobbyist) คือ บุคคลหรือกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับผู้มีอำนาจรัฐ เพื่อผลักดันหรือคัดค้านกฎหมาย นโยบาย หรือมติของรัฐบาล โดยทั่วไปแล้วล็อบบี้ยิสต์จะทำงานให้กับองค์กร บริษัท หรือกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจง หรือบางครั้งเราอาจจะเรียกการทำงานของพวกเขาว่าเป็นการ “วิ่งเต้น”
รัฐบาลเมียนมาอยู่ภายใต้การนำของพลเอกมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทางทหาร ซึ่งเข้าทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนในปี 2021 และในปีนั้น นักล็อบบียิสต์สัญชาติอิสราเอล-แคนาดา ซึ่งเมียนมาว่าจ้างเพื่อทำหน้าที่แทนรัฐบาลเมียนมาในการเข้าหารัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลอื่น ๆ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้ยุติการทำงานของตนเองแล้ว เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อผู้นำทางทหารของเมียนมา ทำให้เขาไม่สามารถได้รับค่าจ้างจากรัฐบาลเมียนมาได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลัง กลุ่มบริษัท DCI Group กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และสถานทูตสหรัฐฯ ประจำเมียนมา ยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในทันทีต่อประเด็นดังกล่าวว่า การคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่
การจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวในเมียนมาเป็นสัญญาณว่า สถานการณ์ทางการเมืองยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะมิน อ่อง หล่าย ยังคงกุมอำนาจสำคัญทั้งหมดในฐานะรักษาการประธานาธิบดี พร้อมทั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดต่อไป
เขาแสดงท่าทีต้องการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ หลังจากที่เมียนมาต้องถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติมาเป็นเวลาหลายปี
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ขู่จะเก็บภาษีศุลกากรใหม่ต่อสินค้าที่ส่งออกจากเมียนมาไปสหรัฐฯ โดยเขาได้ลงนามในจดหมายซึ่งระบุถึงมิน อ่อง หล่าย โดยตรง
พลเอกมิน อ่อง หล่าย ตอบกลับด้วยการชื่นชมทรัมป์ต่อ “ภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง” พร้อมร้องขอให้ลดอัตราภาษีและยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร และระบุด้วยว่า พร้อมจะส่งคณะเจรจาไปยังกรุงวอชิงตัน หากมีความจำเป็น
ภายใต้เอกสารที่ยื่นต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ตามกฎหมายควบคุมหน่วยงานต่างชาติสหรัฐฯ บริษัท DCI Group จะให้บริการสถานการณ์ด้านสาธารณะให้แก่ลูกค้า ด้วยความเคารพในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและสหรัฐฯ โดยโฟกัสไปท่ีการค้า แหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติ และการบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรม
เอกสารดังกล่าวได้รับการลงนามเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม โดยจัสติน ปีเตอร์สัน และไบรอัน แม็กคาบี คู่ค้าฝ่ายจัดการของ DCI
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานเมื่อปีที่แล้วว่า สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ หรือเอฟบีไอ ทำการสอบสวน DCI Group เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในปฏิบัติการแฮ็กและเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งมุ่งเป้าโจมตีบุคคลหลายร้อยรายที่เป็นผู้วิจารณ์รายใหญ่ของบริษัทลูกค้า Exxon Mobil หรือไม่
แต่ DCI Group ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ว่าจ้างให้ดำเนินการแฮ็กข้อมูล โดยยืนยันว่า มีการสั่งการให้พนักงานและที่ปรึกษาทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ในปี 2008 ผู้ช่วยระดับสูง 2 คนของจอห์น แมคเคน ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกันในขณะนั้น ได้ลาออก หลังจากมีการเปิดเผยว่างานที่พวกเขาเคยทำร่วมกับ DCI Group เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารชุดก่อนของเมียนมา ขณะที่จิม เมอร์ฟี อดีตประธานและหุ้นส่วนผู้จัดการของ DCI Group เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองระดับชาติในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปี 2016