จอห์น แรตคลิฟฟ์ ผู้อำนวยการซีไอเอของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่า ทางหน่วยงานมีหลักฐานเชื่อถือได้ที่ชี้ว่า โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ซีไอเอไม่ได้แสดงหลักฐานที่ว่า แต่ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองดังกล่าวยืนยันว่า หลักฐานที่ว่าประกอบไปด้วยข้อมูลข่าวกรองชุดใหม่ที่ได้รับจากแหล่งข่าวและวิธีที่เชื่อถือได้โดยอ้างอิงจากในอดีตที่ผ่านมา และย้ำว่า โรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านที่สำคัญถูกทำลาย และการที่ต้องซ่อมแซมฟื้นฟูอาจจะต้องใช้เวลาหลายปี
แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้น 1 วัน หลังจากสำนักงานข่าวกรองกลาโหมระบุว่า การโจมตีอิหร่านของสหรัฐฯ เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่ได้ทำลายส่วนสำคัญของโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน และดูเหมือนว่า จะสามารถทำให้ความทะเยอทะยานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านล่าช้าและถอยหลังกลับไปได้เพียงแค่หลักเดือนเท่านั้น
สำนักข่าวอัลจาซีรารายงานว่า เจ้าหน้าที่อิหร่านกำลังเดินหน้าดำเนินมาตรการลงโทษที่รุนแรงขึ้นต่อผู้ที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลต่างชาติ หลังสงครามกับอิสราเอลที่ยาวนาน 12 วันยุติลงด้วยข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (23 มิถุนายน)
ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนของอิหร่าน แถลงเมื่อค่ำวันอังคาร โดยอ้างถึง ชัยชนะทางประวัติศาสตร์ พร้อมระบุว่า แผนการบ่อนทำลายความสามัคคีของชาติจะต้องล้มเหลว
ในขณะเดียวกัน รัฐสภาและฝ่ายตุลาการของอิหร่านกำลังเดินหน้าผลักดันกฎหมายที่เพิ่มบทลงโทษอันรุนแรงต่อการกระทำใด ๆ ก็ตามที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รัฐสภาอิหร่านผ่านแผนการเพิ่มโทษต่อการจารกรรมและการสมคบคิดกับระบอบไซออนิสต์ (อิสราเอล) และประเทศศัตรูที่เป็นภัยต่อความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติ
สมาชิกคณะกรรมการบริหารรัฐสภา เปิดเผยว่า การกระทำใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรอง การจารกรรม หรือกิจกรรมที่เอื้อประโยชน์ให้อิสราเอล สหรัฐฯ และชาติอื่น ๆ อาจถูกจัดเป็นการทุจริตบนแผ่นดิน ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่มีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต
ร่างกฎหมายดังกล่าวยังรวมถึงบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับอาวุธที่ “สามารถคร่าชีวิตหรือสร้างความวุ่นวายและความหวาดกลัว” รวมถึงผู้ที่รับเงิน ทรัพย์สิน หรือสกุลเงินดิจิทัลแลกกับการให้บริการแก่รัฐศัตรู
สภานิติบัญญัติคาดว่า กฎหมายฉบับนี้จะมอบอำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมากขึ้น
ที่เมืองอูร์เมีย จังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันตก ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนกับอิรักและตุรกี เจ้าหน้าที่อิหร่านได้ประหารชีวิตชาวอิหร่าน 3 รายเมื่อเช้าวันพุธที่ผ่านมา ฐานให้ความร่วมมือกับอิสราเอล โดยผู้ต้องหาเหล่านี้ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาทำสงครามกับพระเจ้า และทุจริตบนแผ่นดิน หลังถูกกล่าวหาว่านำอุปกรณ์ที่ใช้ในการลอบสังหารเจ้าหน้าที่อิหร่านข้ามชายแดนเข้ามา
แม้ทางการจะไม่เปิดเผยชื่อเจ้าหน้าที่ที่ถูกลอบสังหาร แต่เชื่อกันว่าการประหารชีวิตครั้งนี้เกี่ยวข้องกับกรณีนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ โมห์เซน ฟาคริซาเดห์ ซึ่งถูกสังหารโดยอิสราเอลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020
นับตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา อิหร่านได้ประหารชีวิตชายอีก 3 คนในคดีจารกรรมที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องสงสัยอย่างน้อย 700 รายทั่วประเทศในช่วง 12 วันของสงคราม และทางการยังคงประกาศจับกุมเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง